22.2.54

ปล่อย7แกนนำสู่อิสรภาพ เอาสุรชัยไปขังแทน!



สู่อิสรภาพในที่สุด-ศาล ให้ประกัน 7 แกนนำนปช.แดงทั้งแผ่นดินแล้ว หลังคุมขังมานาน 9 เดือนเต็ม โดยคนเสื้อแดงพากันไปรอรับขวัญหน้าเรือนจำเย็นนี้ ขณะที่มีการคุมตัวสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยามไปขังคุกแทน ข้อหาหมิ่นฯ

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
22 กุมภาพันธ์ 2554

ผู้ พิพากษาศาลอาญาให้ประกัน 7 แกนนำนปช. และ1 แนวร่วมฯโดย มีเงื่อนไข ห้ามปลุกปั่น ห้ามออกนอกประเทศ เมื่อเวลาราว14.00 น.วันที่ 22 กุมภาพันธ์

หลัง จากผู้พิพากษา อ่านคำพิพากษา อนุญาตให้ประกันตัว กลุ่มคนเสื้อแดง ต่างแสดงความดีใจ โห่ร้องด้วยความยินดี แต่ได้มีการห้ามปรามไว้ เนื่องจากอาจเป็นการละเมิดอำนาจศาล แกนนำ จึงได้ขอให้คนเสื้อแดงไปโห่ร้องแสดงความยินดี บริเวณ หน้าศาลอาญาแทน

จากนั้น กลุ่มคนเสื้อแดงร่วมกันเดินทางไปรับ 7 แกนนำและ 1 แนวร่วมพธม. ที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร

เอาสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยามไปขังแทน
สุ รชัย แซ่ด่าน (ซ้าย) ถูกคุมตัวไปเข้าคุกคลองเปรม ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เจ้าตัวเผยไม่เดือดร้อน ถือเป็นโอกาสรณรงค์ให้ยกเลิกกฎหมายหมิ่นม.112 และเสนอให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้พ้นวังวนการเมืองแบบญี่ปุ่น เพื่อเลี่ยงการเกิดสงครามกลางเมืองแบบตะวันออกกลาง

รอยเตอร์เสนอ ภาพข่าว ตำรวจยืนรักษาการณ์หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งวันนี้มีการจับกุมตัวนายสุรชัย แซ่ด่าน แกนนำแดงสยาม ไปขังคุกคลองเปรม ข้อหาหมิ่นพระบรมฉายาลักษณ์

หมอเหวงตระ กองกอดอ.ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการประธานนปช. ซึ่งเป็นคู่ทุกข์คู่ยากที่ต่อสู้เคียงคู่ร่วมกันมายาวนาน คราวนี้ก็เป็นอีกวาระในความทุกข์ยากที่ทั้งคู่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริงของประเทศไทย

ณัฐวุฒิ กับลูกแก้ว+เมียขวัญที่ห่างกันนาน9เดือนเต็มๆ

ก่อแก้ว คนดีติดคุกไทย ส่วนคนจัญไร คู่แข่งสนามเลือกตั้งซ่อมเขตบึงกุ่มไปติดคุกเขมร

ขวัญชัย ไพรพนา:อ่านเสียงจากเรือนจำ“ขวัญชัย ไพรพนา” :กูไม่กลัวมึง
วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย:อ่าน ยังเชื่อลึกๆประชาชนจะชนะ

เจ๋ง ดอกจิก:ไม่เคยเสียใจหรือท้อใจต่อชะตากรรม
นิสิต สินธุไพร:หัวใจผมยังมีอิสระอย่างเต็มที่ ผมอยากบอกว่า จะทำอะไรกับพวกผม ผมไม่กลัว

ขณะ ที่ศาลอาญาให้ประกันตัว 7 แกนนำนปช.ทั้งแผ่นดิน คือ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ หมอเหวง โตจิราการ วิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ขวัญชัย ไพรพนา เจ๋ง ดอกจิก นิสิต สินธุไพร และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง พร้อมด้วยแนวร่วมนปช.อีก 1 คนคือ นายภูมิกิตติ สุจินดาทอง

ทั้งนี้เมื่อเวลา ประมาณ 14.00น. ที่ศาลอาญา รัชดาภิเษก คณะผู้พิพากษาได้ออกนั่งบัลลังค์ อ่านคำสั่ง ขออนุญาตประกันตัว 7 แกนนำนปช. พร้อมด้วยแนวร่วมนปช.อีก 1 คน โดยศาลได้ตีราคาประกันคนละ 6 แสนบาท และมีเงื่อนไขในการปล่อยตัว 2 ข้อ คือ ห้ามออกนอกประเทศและห้ามเคลื่อนไหวยุยงปลุกปั่นให้เกิดความวุ่นวาย

นาง ธิดา ถาวรเศรษฐ รักษาการ ประธาน นปช. ให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า 7 แกนนำนปช.จะได้รับการปล่อยตัว ในเย็นนี้ ตอนนี้ยังอยู่ที่ศาลเพื่อดำเนินเรื่องประกันตัว ส่วนข้อห้ามเรื่องการห้ามออกนอกประเทศ และห้ามยุยงปลุกปั่นคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร ทำตามได้ง่ายมาก การเคลื่อนไหวของนปช.ก็ได้พิสูจน์มานานแล้ว การที่พยานแต่ละคนก็ล้วนมีน้ำหนัก ส่วนพยานเอกสารก็เป็นการเพิ่มเติมไปจากเดิม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลความเป็นจริงก็คงชัดขึ้น

วันนี้แค่ รุ่งอรุณของความยุติธรรม ยังมีคนที่อยู่ในเรือนจำอีกจำนวนมาก มีความจริงที่ยังไม่ได้ปรากฎอีกจำนวนมาก ไม่ใช่ว่าเราสู้เฉพาะแกนนำ นี่เป็นก้าวแรกที่เรามองเห็นแสดงของความยุติธรรม เราต้องเคลื่อนไหวต่อ เพียงแต่ความกดดันมันลดลง อาจจะมีความร่าเริงสดชื่น เราต้องพยายามพิสูจน์ให้มากขึ้นว่าคนเหล่านั้นถูกป้ายสี แต่เราไม่ปกป้องคนทำผิดจริงก็ว่าไปตามจริง แต่คนถูกป้ายสีต้องช่วยเหลือออกมา ไม่ทำให้ให้เกิดวุ่นวาย และยืนยันว่าจะยังคงมีการชุมนุมในวันที่ 12 มีนาคมนี้แน่นอน

******

บุกจับสุรชัยแดงสยามกลางดึกยัดคดีหมิ่นฯ เจ้าตัวได้โอกาสรณรงค์เลิกม.112-ปฏิรูปสถาบันฯพ้นการเมือง

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
22 กุมภาพันธ์ 2554



เวลา ประมาณตี สองคืนนี้ อ. สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน. โชคชัย บุกจับที่บ้าน แล้วพาตัวมาที่โรงพัก สน. โชคชัย โดยมีลูกศิษย์ติดตามมาด้วยสองคน

ชัยนรินทร์ ผู้ประสานงานแดงสยาม แจ้งข่าวผ่านทางเฟสบุค ในเวลาประมาณตีสอง "ด่วนๆๆๆๆๆ อ.สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ถูกชารต์ตัวคาบ้านแดงสยาม ตอนนี้อยู่ สน โชคชัย คดีหมิ่นฯ รวมตัวที่ สน ได้เลยครับ"

ข่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวด เร็วที่เฟสบุค และในเวลาไม่ถึงชั่วโมง นักข่าวและคนเสื้อแดงกว่า 40 คน ได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าที่ สน. โชคชัย ทั้งนี้เบื้องต้นทราบว่าเป็นคดีหมิ่น ที่ อ. สุรชัย อ่านบทกลอนของอดีตนายกสมัคร สุนทรเวช เมื่อนานมาแล้ว

ทั้งนี้ อ. สุรชัย ไม่ยอมให้การใดๆ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวส่งเข้าห้องขัง และไม่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัวเมื่อคืนนี้

นาย สุรชัยให้สัมภาษณ์ว่า การที่ถูกจับข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา112ก็ดีเหมือนกัน จะได้รณรงค์ยกเลิกมาตรา112 และเป็นโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะมีการดึงสถาบันเบื้องสูงลงมาเกี่ยวข้องการเมืองมาก ทำให้มีวิกฤตศรัทธาเกิดขึ้น เสี่ยงจะนำไปสู่สงครามกลางเมือง ดังนั้นควรเสนอให้เปลี่ยนแปลงปฏิรูปบทบาทสถาบันเบื้องสูงให้เป็นแบบเดียวกับ ประเทศญี่ปุ่น

"ประเด็นไม่ใช่ว่าผมถูกจับแล้วมาสู้ให้ปล่อยผม ได้หรือไม่ได้ประกัน ไม่ต้องโวยวายหรือมาสู้ให้ผม แต่ประเด็นสำคัญคือเป็นโอกาสที่ผมจะได้รณรงค์ยกเลิกมาตรา112กฎหมายหมิ่นฯ และได้เวลาเปลี่ยนแปลงสถาบันเบื้องสูงให้พ้นวังวนการเมือง ให้เป็นแบบญี่ปุ่น"นายสุรชัยกล่าวกับผู้สนับสนุน และผู้สื่อข่าว

ส่งศาลอาญาฝากขังผลัดแรก12วัน ค้านประกัน

ความ คืบหน้าล่าสุดช่วงเช้าวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจสน.โชคชัย แจ้งว่าไม่ให้ประกันตัวอ.สุรชัยแกนนำกลุ่มแดงสยาม และกำลังส่งตัวไปที่ศาลอาญารัชดาภิเษกในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชาณุภาพ ตามมาตรา112 ซึ่งทนายความกำลังติดต่อเพื่อขอประกันตัว อย่างไรก็ตามตำรวจได้ฝากขังผลัดแรก 12 วัน และคัดค้านการประกันตัว

ต่อมาเจ้าหน้าที่พานายสุรชัยไปฝากขังผลัดแรกที่เรือนจำคลองเปรมแล้ว ขณะที่เจ้าตัวไม่ขอประกัน



ทาง ด้านกลุ่มผู้สนับสนุนนายสุรชัยจำนวนหนึ่งได้ไปปราศรัยเรีบกร้องปล่อยตัวนาย สุรชัยที่หน้าสน.โชคชัยตั้งแต่เช้ามืด และตามไปที่ศาลอาญา (ดูภาพที่มีการอัพเดตเป็นระยะ)

ขอบคุณภาพจาก กุ้งอินเตอร์นิวส์










*******

แถลงการณ์ของ นายจักรภพ เพ็ญแข (ฉบับแก้ไข): การจับกุมนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์และการให้ประกันตัวแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน



โดย จักรภพ เพ็ญแข
22 กุมภาพันธ์ 2554

แถลงการณ์ของ นายจักรภพ เพ็ญแข เรื่องการจับกุมนายสุรชัย (ฉบับแก้ไข)

แถลงการณ์ของ นายจักรภพ เพ็ญแข
เรื่อง การจับกุมนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์และการให้ประกันตัวแกนนำ นปช.แดงทั้งแผ่นดิน
วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔


ใน นามขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยไทย ผมขอประณามการตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและการจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ประธานแดงสยาม หลังการปฏิบัติภารกิจทางการเมืองเมื่อคืนวันจันทร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔ พฤติกรรมดังกล่าว สวนทางกับหลักประชาธิปไตยสากลทุกประการทั้งในเนื้อหากฎหมายอันเกี่ยวพันกับ สถาบันกษัตริย์และในการดำเนินการจับกุมด้วยบุคคลนอกเครื่องแบบด้วยอาวุธครบ มือ เราถือว่า นี่คือการประกาศความเป็นศัตรูอย่างชัดแจ้งกับประชาชน ความหวังใดๆ ที่เราจะได้ประชาธิปไตยที่แท้ภายใต้ระบอบศักดินาอำมาตยาธิปไตยเช่นที่เป็น อยู่นี้ได้ดับลงแล้วอย่างสิ้นเชิง

นี่มิใช่ “รุ่งอรุณแห่งความยุติธรรม” หากคืออัสดงคตแห่งระบอบประชาธิปไตยไทย หรือเป็นช่วงตะวันตกดินก่อนเข้าสู่ช่วงกาฬปักษ์อันมืดมิด

ความ ยินดีที่ได้เห็นแกนนำ นปช.ฯ ทั้ง ๗ คนได้รับการประกันตัว จึงถูกถ่วงดุลด้วยการจับกุมตัว นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ และเหยื่อการเมืองในระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จของไทย ขอให้มวลชนจงรวมตัวกันยืนหยัดในอุดมการณ์ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยอันแท้จริง ต่อไป โดยไม่เห็นแก่เศษเนื้อข้างจานหรือสินบนทางการเมืองที่ไร้ความหมายใดๆ

นอก จากนั้นให้ยกเลิกความในรัฐธรรมนูญ หมวด ๒ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ อันเป็น “ฐานความผิด” ของนายสุรชัยฯ และของบุคคลอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งตัวผมเอง ลงโดยสิ้นเชิง สาระของรัฐธรรมนูญในส่วนนี้ ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองอย่างโฉดชั่วและเป็นภูเขาที่ขวางกั้นมิ ให้ระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริงเกิดขึ้นได้ หากกฎหมายนี้และอื่นๆ ในลักษณะนี้ยังดำรงอยู่ สังคมไทยจะกลายเป็นสนามรบและจะเกิดความรุนแรงทางการเมืองอีกในไม่ช้า

ขอ ให้มวลชนตาสว่างผู้เป็นนักปฏิวัติ ร่วมเดินทางสายสำคัญนี้ต่อไป ผมขอปวารณาตัวเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการปฏิวัติประชาธิปไตยไทย ขอให้แกนนำทุกท่านที่พรั่งพร้อมต่อการเดินไกล เช่น คุณพลท เฉลิมแสน ผู้ประสานภารกิจ ช่วยเป็นเรี่ยวแรงภายในประเทศ ให้แก่มวลชนที่รักยิ่งของเราอย่างมั่นคงและศรัทธา.

ขอกราบพี่น้องประชาชนจากหัวใจของผม
นายจักรภพ เพ็ญแข


*******

18.2.54

"เรื่องเล่า" จากแวดวงราชสำนัก: ทำไม ในหลวง ไม่ได้ทรงพระราชทานอภัยโทษ จำเลยคดีสวรรคต



ธรณีนี่นี้เป็นพยาน. . เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง : 56 ปี การประหารชีวิตจำเลยคดีสวรรคต 17 กุมภาพันธ์ 2498 - 2554


โดย ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา เฟซบุ๊ค สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล


เมื่อ 6 ปีก่อน ในระหว่างที่ผมเขียนบทความเรื่อง "50 ปี การประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498" (ดาวน์โหลด pdf บทความนี้ได้ที่นี่่ http://www.enlightened-jurists.com/page/136 ) ประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกโกรธมาก คือ การที่หนังสือ The Revolutionary King (2001) ที่เขียนโดย วิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson) ได้ให้ข้อมูลที่ผิดบางอย่างเกี่ยวกับการประหารชีวิตจำเลยคดีสวรรคตในหลวง อานันท์

ดังที่หลายคนอาจจะทราบแล้ว สตีเวนสัน คือผู้เขียนหนังสือ A Man Called Intrepid ซึ่งในหลวงทรงแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "นายอินทร ผู้ปิดทองหลังพระ" ในการค้นคว้าเพื่อเขียน The Revolutionary King สตี เวนสัน ได้รับพระบรมราชานุญาตให้มาใช้ชีวิตในประเทศไทยในแวดวงราชสำนัก ได้สัมภาษณ์สนทนากับทั้งในหลวง พระราชินี พระเทพ พระราชชนนี ข้าราชบริพารในพระองค์และผู้ใกล้ชิดราชสำนักจำนวนมาก น่าเสียดายที่หนังสือของสตีเวนสัน ไม่มีเชิงอรรถอ้างอิงที่แน่นอน ทำให้เราไม่สามารถบอกได้ว่า ข้อมูลใดในหนังสือของเขา เอามาจากใครบ้าง อย่างไรก็ตาม คงไม่เป็นการเกินเลยไปที่จะคิดว่า ข้อมูลที่เกี่ยวกับราชสำนักส่วนใหญ่ในหนังสือของเขา เอามาจากการเล่าของคนในแวดวงราชสำนักเอง

ในหน้า 111 ของ The Revolutionary King สตีเวนสัน เขียนในลักษณะที่ว่าในหลวงทรงตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลของการดำเนินคดี สวรรคตของรัฐบาลในขณะนั้นภายใต้การบงการของกลุ่มพิบูล-เผ่า รวมทั้งการพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย สตีเวนสันอ้างว่า ในหลวงทรงกล่าวในภายหลัง (สตีเวนสันไม่ได้ระบุว่า เอาคำพูดของในหลวงตอนนี้มาจากที่ใด)

"กระบวนการอุทธรณ์ คำตัดสินกำลังดำเนินการไป" ในหลวงทรงกล่าวในภายหลัง "ข้าพเจ้าไม่สามารถบ่อนทำลายฐานะของบรรดาผู้รักษาตัวบทกฎหมายของเราอย่าง ซื่อสัตย์ ด้วยการเข้าแทรกแซง จนกว่าฎีกาขออภัยโทษขั้นสุดท้ายมาถึงข้าพเจ้า"

['Fresh appeals against the sentences were in the works,' he said later. 'I couldn't undermine the position of honest upholders of our written laws by intervening until a final appeal for clemancy reached me.']


สตี เวนสันเล่าต่อไปว่า แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเลยถูกตัดสินประหารชีวิตขั้นสุดท้าย และทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ เผ่าได้ดำเนินการประหารชีวิตจำเลยไปโดยปกปิดข่าว และด้วยการกักหนังสือฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ ไม่นำขึั้นทูลเกล้าฯถวาย ในหลวงไม่ทรงทราบข่าวการประหารชีวิตนั้นเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว และมีข่าวลือไปถึงพระองค์ (He had been told nothing about the executions. - The Revolutionary King หน้า 119) สตีเวนสันอ้างว่า ในหลวงทรงกริ้วอย่างยิ่ง (rage) . . .

ในหลวง ทรงรีบกลับจากวังไกลกังวลเมื่อข่าวลือเรื่องการประหารชีวิตไปถึงพระองค์. พระองค์ได้ทรงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ทรงเข้าแทรกแซงกับกระบวนการยุติธรรม, เพราะคิดว่าทรงได้รับหลักประกัน [จากรัฐบาล] เรื่องความเป็นอิสระและเข้มแข็งของศาลแล้ว. ในความกริ้วอย่างเงียบๆของพระองค์, พระองค์ได้ตระหนักว่าพระองค์ทรงอยู่ในฐานะไร้ซึ่งอำนาจเพียงใด. พระองค์ได้ทรงยืนยันไปก่อนหน้านั้นว่า ราษฎรทุกคนมีสิทธิที่จะถวายฎีกาขออภัยโทษถึงพระองค์โดยตรง. บัดนี้ ทรงพบว่าความพยายามที่จะถวายฎีกาถึงพระองค์ของครอบครัวแพะรับบาปทั้งสามถูก หยุดยั้่งโดยบรรดาข้าราชสำนักที่ถูกตำรวจของเผ่าดึงตัวไปเป็นพวก . . . บนโต๊ะทำงานของเผ่า หนังสือฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามถูกวางทิ้วไว้

[The King hurried back for Far-From-Worry when the rumours reached him. He had let the months passed without interfering with the due process of law, thinking he had won his demand for a strong and independent judiciary. In his silent rage, he saw how powerless he really was. He had insisted that every citizen had the right to petition him directly. Now he discovered that attempts to reach him by the scapegoats’ families had been stopped by courtiers subverted by Phao’s police. . . . . On Phao’s desk remained the last written appeals from the dead men for a king’s pardon.]


(ข้อความภาษาอังกฤษข้างต้นนี้ ผมได้อ้างไว้ในบทความ โดยไม่แปลอย่างจงใจ เพิ่งมาแปลในครั้งนี้)

ใน บทความของผม ผมได้ยกข้อมูลชั้นต้นร่วมสมัยจำนวนมาก ทั้งรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีและรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ มาแสดงให้เห็นว่า ในความเป็นจริงฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามได้รับการส่งผ่านจาก คณะรัฐมนตรีไปถึงราชเลขาธิการและราชเลขาธิการได้นำขึ้นทูลเกล้าถวายตาม กระบวนการ และต่อมา "ราชเลขาธิการแจ้ง [คณะรัฐมนตรี] มาว่า ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้" (คือไม่ทรงโปรดเกล้าฯให้อภัยโทษ) ในระหว่างที่ฎีกา ส่งถึงราชสำนักแล้ว แต่ยังไม่ทราบผล หนังสือพิมพ์สมัยนั้น รวมทั้ง สยามรัฐ ก็ ได้รายงานข่าวอย่างแพร่หลาย มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ไปสัมภาษณ์ ม.จ.นิกรเทวัญ เทวกุล ราชเลขาธิการ ด้วย ซึ่ง ม.จ.นิกรเทวัญ ทรงรับสั่งยืนยันว่า "ฎีกาของจำเลยทั้งสามคนนี้ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายมาหลายวันแล้ว" ผมยังได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ที ม.จ.นิกรเทวัญ จะร่วมมือกับเผ่า กักหนังสือฎีกาไว้ไม่ทูลเกล้าถวาย เพราะ ม.จ.นิกรเทวัญ เป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย โปรดเกล้าฯให้เป็นราชเลขาธิการด้วยพระองค์เองให้อยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการ ตั้งแต่ปี 2493 จนถึงปี 2505 ซึ่งรวมเวลาที่ทรงโปรดเกล้าฯต่ออายุราชการให้ถึง 5 ครั้งจนครบตามระเบียบที่ต่ออายุราชการได้

ส่วนสาเหตุที่ทรง "โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกา" ของ 3 จำเลยคืออะไร ผมไม่สามารถบอกได้แน่ชัด เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน

*******

กรุณาอ่านประกอบกับกระทู้นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155497804503507&set=a.137616112958343.44289.100001298657012&theater


เย็น วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2498 เจ้าหน้าที่เรือนจำบางขวางได้ไปติดต่อกับภิกษุเนตร ปัญญาดีโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดบางขวางที่อยู่ใกล้ๆกันว่าคืนนั้นขอนิมนต์ไปเทศน์ให้นักโทษที่ จะถูกประหารชีวิตฟัง เวลาเดียวกันที่เรือนจำ ผู้บัญชาการ (ขุนนิยมบรรณสาร) เรียกประชุมพัศดี ผู้คุมและพนักงานเรือนจำทั้งหมด สั่งให้เตรียมพร้อมประจำหน้าที่ . . .

นักโทษ 3 คน ถูกนำตัวออกจากห้องขังมาทำการตีตรวนข้อเท้าตามระเบียบ ทั้ง 3 คน รู้ตัวทันทีว่ากำลังจะถูกประหารชีวิต . . .

นัก โทษคนหนึ่งมีอาการปรกติ ขณะที่อีก 2 คนแสดงความตื่นตระหนก จนนักโทษคนแรกต้องหันไปดุว่า “กลัวอะไร เกิดมาตายหนเดียวเท่านั้น” นักโทษคนแรกยังพูดหยอกล้อกับผู้ตีตรวนได้

หลังตีตรวนเสร็จ ทั้งสามถูกนำไปพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจโรคทำบันทึกสุขภาพ แล้วถูกพาไปที่ห้องขังชั่วคราว (ปรกติเป็นห้องเยี่ยมญาติ) ขณะนั้นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ที่นั่นนอกจากมีผู้คุมเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เข้าประกบนักโทษคนต่อคนตลอดเวลาแล้ว ยังมีแพทย์คอยสังเกตและตรวจอาการเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยเจ็บก่อนถูกประหาร มีเสื่อปูให้นอน แต่ไม่มีใครนอน ราว 19 นาฬิกา แพทย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้นักโทษคนแรก 1 เข็ม แต่เขายังสามารถพูดคุยกับผู้คุมได้ ขณะที่อีก 2 คน มีอาการ กอดอก ซึมเศร้า เวลา 22 นาฬิกา ผู้คุมเป็นพยานให้นักโทษทั้งสามเขียนพินัยกรรมหรือจดหมายฉบับสุดท้ายถึงญาติ . . . .


และกระทู้นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155570287829592&set=a.137616112958343.44289.100001298657012&theater

ธรณีนี่นี้เป็นพยาน. . เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง : 56 ปี การประหารชีวิตจำเลยคดีสวรรคต 17 กุมภาพันธ์ 2498 - 2554


. . . . ประมาณตี 2 หัวหน้ากองธุรการเรือนจำอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้นักโทษทั้งสามฟัง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ นักโทษทั้งสามนั่งฟังโดยสงบเป็นปรกติ หลังจากนั้น ภิกษุเนตร (ซึ่งมาถึงตั้งแต่ตี 2) ได้เทศน์ให้นักโทษทั้งสามฟังใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างการเทศน์ นายเฉลียวมีอาการปรกติ ยังสามารถนำอาราธนาศีลได้ นายชิตนั่งสงบขณะที่นายบุศย์กระสับกระส่าย เมื่อเทศน์จบแล้ว ระหว่างที่ภิกษุเนตรกำลังจิบน้ำชาและพูดคุยกับนักโทษ นายบุศย์ซึ่งมีอาการโศกเศร้าที่สุดและหน้าตาหม่นหมองตลอดเวลา บอกกับภิกษุเนตรว่า “เรื่องของผมไม่เป็นความจริง ไม่ควรเลย” และพูดถึงแม่ที่ตายไปแล้วว่าเป็นห่วง ตายนานแล้วยังไม่ได้ทำศพ นายเฉลียวทำท่าจะสั่งเสียบางอย่างกับภิกษุเนตร “กระผมจะเรียนอะไรกับพระเดชพระคุณฝากไปสักอย่าง” แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พอดีกับ เผ่า ศรียานนท์ พร้อมด้วยบริวารเกือบ 10 คน เดินทางมาถึงและเข้ามานั่งในห้องที่เก้าอี้ด้านหลังภิกษุเนตร เผ่าอยู่ในชุดสูทสากลหูกระต่าย สวมหมวกแบเร่ต์สีแดง นายเฉลียวเห็นเข้าก็เอ่ยขึ้นว่า “อ้อ คุณเผ่า” หลังจากนี้ภิกษุเนตรก็กลับวัด . . . .

หลังพระเทศน์ นักโทษถูกนำกลับห้อง ทางเรือนจำจัดอาหารมื้อสุดท้ายให้ แต่ไม่มีใครกิน . . . .

เวลา ประมาณ 4.20 น. นายเฉลียวถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหารเป็นคนแรก โดยอยู่ในท่านั่งงอขา หันหลังให้ที่ตั้งปืนกลของเพชรฆาต ห่างจากปืนกลประมาณ 5 เมตร นักโทษถูกมัดเข้ากับหลักประหาร มือทั้งสองพนมถือดอกไม้ธูปเทียนไว้เหนือหัวมีผ้าขาวมัดไว้ และมีผ้าขาวผูกปิดตา ด้านหน้านักโทษเป็นกองดิน ด้านหลังเป็นฉากผ้าสีน้ำเงิน บังระหว่างนักโทษกับเพชรฆาต บนฉากผ้ามีวงกลมสีขาวเป็นเป้าสำหรับเพชรฆาต ซึ่งตรงกับบริเวณหัวใจของนักโทษ เมื่อได้เวลา เพชรฆาตประจำเรือนจำ นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง ก็ยิงปืนกลรัวกระสุน 1 ชุด จำนวน 10 นัด เสร็จแล้วแพทย์เข้าไปตรวจดูนักโทษเพื่อยืนยันว่าเสียชีวิต

หลังการประหารนายเฉลียวประมาณ 20 นาที นายชิต ก็ถูกนำตัวมาประหารเป็นคนต่อไปในลักษณะเดียวกัน . . . .

หลัง จากนั้นไปอีก 20 นาที ก็ถึงคราวของนายบุศย์ เขามีโรคประจำตัวเป็นลมบ่อย และเป็นลมอีกก่อนถูกนำเข้าหลักประหารเล็กน้อย ต้องช่วยให้คืนสติก่อน . . .

เพชร ฆาตยิงนายบุศย์เสร็จ 1 ชุดแล้ว ตรวจพบว่านายบุศย์ยังมีลมหายใจ จึงยิงซ้ำอีก 2 ชุด โดยยิงรัว 1 ชุด แล้วตามด้วยการยิงทีละนัดจนหมดอีก 1 ชุด

ผลการยิงถึง 30 นัดนี้ทำให้เมื่อญาติทำศพ พบว่านายบุศย์เหลือเพียงร่างที่แหลกเหลว และมือขาดหายไป . . . .

16.2.54

ญาติคนเสื้อแดงทวงสัญญาประกัน104นักโทษการเมือง หลังครม.อนุมัติแล้วส่อแววเบี้ยวโดนขังลืม







ที่มา Asia Update TV และ ประชาไท

แม่บ้านอีสานบุกกรมคุ้มครองสิทธิฯ ร้อง 9 เดือนแล้ว ลูก-ผัวเสื้อแดงยังไม่ได้ประกันตัว

เวบไซต์ประชาไท รายงานว่า เมื่อวันที่15 ก.พ.54 ที่กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ตัวแทนกลุ่มเครือข่ายญาติผู้ต้องขังเสื้อแดงราว 50 คน พร้อมด้วยนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของน.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม เข้ายื่นหนังสือและร้องเรียนกรณีที่ญาติพี่น้อง-สามี-ลูก ซึ่งเป็นคนเสื้อแดงยังถูกคุมขังอยู่ตามเรือนจำจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นมหาสารคาม อุบลราชธานี อุดรธานี มุกดาหาร มหาสารคาม ขอนแก่น เชียงใหม่ โดยไม่สามารถประกันตัวได้

ทั้งนี้ นายสมชาติ เอี่ยมอนุพงษ์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิได้ลงมารับหนังสือ ซึ่งในหนังสือร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.53 ครม.มีมติยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พร้อมทั้งเห็นชอบให้มีการช่วยเหลือประกันตัวให้แก่ผู้ต้องขังคดีชุมนุมทาง การเมือง 104 คน ตามที่คณะกรรมการที่มี นายคณิต ณ นคร เป็นประธานเสนอมา แต่ถึงปัจจุบันกว่า 9 เดือนแล้วแต่ญาติพี่น้องของพวกเขาก็อยู่ในเรือนจำ จึงขอเรียกร้องให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ประสานงานตามศาลจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ญาติได้ประกันตัว พร้อมช่วยเหลือหลักทรัพย์ และขอให้เปิดเผยรายชื่อผู้ต้องหาที่ถูกขังในเรือนจำทั่วประเทศในคดีการเมือง ด้วย

จากนั้นได้มีการเชิญชาวบ้านทั้งหมดไปร่วมหารือร่วมกับรองอธิบดีและ นางนงกรณ์ รุ่งเพ็ชรวงศ์ ผอ.กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ

นาง นงกรณ์ ชี้แจงว่า ได้ลงไปสำรวจในเรือนจำทั่วประเทศ พบว่า ณ เดือนตุลาคม 2553 ยังมีผู้ต้องขังเสื้อแดง 180 คน มี 151 คนที่ขอความช่วยเหลือ บางส่วนขอทนายความซึ่งคณะกรรมการสิทธิฯ จะเป็นผู้จัดหาให้ อีก 48 รายขอความช่วยเหลือเรื่องเงินประกันตัว ซึ่งกองทุนยุติธรรมอนุมัติให้ทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างนำเงิน 28 ล้านไปให้ยุติธรรมจังหวัดเพื่อนำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันตัวที่ศาล แต่การให้หรือไม่ให้ประกันเป็นดุลยพินิจของศาล ไม่สามารถไปแทรกแซงได้ ซึ่งที่ผ่านมากรมได้ช่วยยื่นประกันตัวไปหลายรายแต่ส่วนใหญ่แล้วศาลไม่อนุญาต เพราะเกรงผู้ต้องขังจะหลบหนี

อย่างไรก็ตาม กรณีที่ชาวบ้านเข้าใจว่ามติครม.ให้ประกัน 104 รายตามที่นายคณิต ณ นคร เสนอนั้น อันที่จริงแล้วมติครม.ระบุให้ดีเอสไอและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปหาหลักเกณฑ์และแนวทางในการประกันตัวมา แต่ปัจจุบันยังไม่มีความคืบหน้า ทางกรมคุ้มครองสิทธิฯ จะทำหนังสือทวงถามให้


ด้านญาติของผู้ต้องขังระบุว่า ขณะนี้เรือนจำจังหวัดอุดรธานี ยังมีผู้ต้องขังประกันตัวไม่ได้ 27 คน อุบลราชธานี 21 คน มุกดาหาร 12 คน มหาสารคาม 9 คน ขอนแก่น 4 คน เชียงใหม่ 4 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดยื่นประกันตัวหลายครั้งแต่ไม่ได้รับอนุญาต ส่วนการลงไปช่วยเหลือของกรมคุ้มครองสิทธิฯ นั้น หลายครั้งไปโดยไม่ประสานงานกับญาติและทนาย ไม่ทราบข้อมูล ทำให้การยื่นประกันได้รับการปฏิเสธ

นางศิรินารถ จันทะคัต ตัวแทนญาติจากจังหวัดมหาสารคาม กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลแสดงความจริงใจด้วยการช่วยเหลือผู้ต้องขังอย่างที่พูด โดยยกตัวอย่างความยากลำบากของครอบครัวจันปัญญา หลังจากนายสุชล จันปัญญา นักศึกษาเทคนิคชั้น ปวส.1 ถูกคุมขัง ทำให้พ่อที่เป็นอัมพาตและมารดาที่อายุมากอยู่อย่างยากลำบาก เพราะปกตินายสุชลจะเป็นเสาหลักหาเลี้ยงครอบครัวและทำงานเป็นลูกจ้างร้านถ่าย เอกสารส่งเสียตัวเองเรียน ในวันเกิดเหตุนายสุชลเข้าไปยืนดู ตำรวจใช้ภาพถ่ายที่เป็นเพียงการยืนมุงเป็นหลักฐาน โดยที่ขวดน้ำมันที่กล่าวอ้างว่าเป็นของนายสุชลก็ไม่มีการพิสูจน์ลายนิ้วมือ

ส่วน นางวาสนา ลิลา จากจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวทั้งน้ำตานองหน้าว่า สามีถูกคุมขังมานานหลายเดือนจะมีอาการเครียด เกรงว่าจะคิดสั้นในเรือนจำ สามีโดนข้อหาร่วมกันวางเพลิง ทั้งที่ในวันเกิดเหตุเขาไปซื้ออะไหล่รถและแวะมาดูลูกคนเล็กที่ป่วยอยู่ที่ โรงพยาบาล เมื่อผ่านจุดเกิดเหตุจึงแวะดู ต่อมาตำรวจนำภาพถ่ายมาให้เซ็นชื่อโดยบอกว่าหากลงชื่อวันรุ่งขึ้นก็สามารถ ประกันตัวได้ แต่ท้ายที่สุดก็ถูกคุมขังมาจนปัจจุบันไม่สามารถประกันตัวได้ ทำให้ตนลำบากมากเพราะต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก 2 คนเพียงลำพัง

ยื่นขอประกันตัวไปหลายครั้ง ไม่ได้รับการประกัน ถูกคุมขังกว่า9เดือน อยู่ที่ดุลยพินิจของศาล ผู้คนที่มีอำนาจกดปุ่มสั่งได้ มันไม่ยอม!

 


โดยอินไซด์ ไทยแลนด์ณ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 18:27 น.
 
 
เวลา 10.00 น. วันเดียวกัน ที่กระทรวงยุติธรรม นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาน.ส.กมนเกด อัคฮาด หรือ "น้องเกด" พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในเขตอภัยทาน วัดปทุมวนาราม พร้อมอาสากู้ภัยและประชาชนรวม 6 ศพ เมื่อวันสลายม็อบแดงราชประสงค์ 19 พ.ค. 2553 ได้พาญาติของผู้ต้องขังเสื้อแดงประมาณ 50 ราย เดินทางมายื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนางสุวณา สุวรรณจูฑะ อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เพื่อขอให้ช่วยประสานงานเรื่องการประกันตัว รวมถึงจัดการเรื่องหลักทรัพย์ค้ำประกันให้กับผู้ต้องขังเสื้อแดงที่ยังถูก คุมขังอยู่ในเรือนจำต่างๆ อาทิ เรือนจำกลางจังหวัดมุกดาหาร มหาสารคาม อุดร ธานี อุบลราชธานี ขอนแก่น สมุทรปราการ และเชียงใหม่ หลังจากถูกคุมขังมานานกว่า 9 เดือน แต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือใดๆ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างคณะของนาง พะเยาว์รอยื่นจดหมายให้นางสุวณานั้น ญาติคนเสื้อแดงนำป้ายเขียนข้อความต่างๆ มาถือยืนประท้วงอยู่หน้าทางเข้ากระทรวงยุติธรรม อาทิ "104 คน รัฐว่าไง ทำไมขังลืม" และ "คำพูด คณิต-อมรา ไม่มีค่าในสายตาศาล" พร้อมกับแต่งกายเลียนแบบนักโทษอุกฉกรรจ์ สวมเสื้อสีฟ้า ขาทั้งสองข้างตีตรวน และมีคนถือปืนยืน คุมอยู่ด้านหลัง โดยมีกำลังตำรวจสภ.ปากเกร็ด เดินทางมาดูแลความสงบเรียบร้อย

ต่อมาเวลา 11.30 น. นางนงภรณ์ รุ่งเพชรวงศ์ ผอ.กองพิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิฯ ลงมารับจดหมายเปิดผนึก ซึ่งมีเนื้อหาขอให้กรมคุ้ม ครองสิทธิและเสรีภาพเข้าไปช่วยเหลือผู้ต้อง ขังเสื้อแดงที่ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต่างๆ โดยกลุ่มเครือญาติผู้ต้องขังเสื้อแดงยอมรับว่าญาติ ของตนเข้าร่วมการชุมนุมจริง แต่ไม่ได้กระทำ ผิดในข้อหารุนแรงตามที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาทั้ง คดีก่อการร้าย วางเพลิงเผาทรัพย์ บุกรุกและมีอาวุธปืน

เนื้อหาในจดหมายดัง กล่าวระบุด้วยว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลประกาศรายชื่อผู้ต้องขังที่กระทำผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 104 คน ซึ่งไม่ใช่ตัวการสำคัญว่าจะได้รับการประกันตัว อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ญาติของผู้ต้องขังที่มีรายชื่ออยู่ใน 104 คนยังประกันตัวผู้ต้องขังออกมาไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องการให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ ประสานงานกับศาลในจังหวัดต่างๆ เพื่อขอให้ได้รับ การประกันตัวตามที่รัฐบาลประกาศ รวมถึงให้เป็นไปตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อ ความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน นอกจากนั้น ยังขอให้กรมคุ้มครองสิทธิฯ เปิดเผยรายชื่อผู้ต้องขังเสื้อแดงทั่วประเทศอีกด้วย

ด้านนาง นงภรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมากรมคุ้มครองสิทธิฯ ทยอยให้ความช่วยเหลือผู้ต้องขังเสื้อแดงไปหลายรายภายหลังลงพื้นที่ไปสำรวจ ผู้ต้องขังเสื้อแดงทั่วประเทศ ที่ผ่านมายืนยันว่าได้เข้าไปสอบถามความเป็นอยู่และความต้องการให้ช่วยเหลือ ในเรื่องต่างๆ กับผู้ต้องขังเสื้อแดงทั่วประเทศใน 14 เรือนจำ จำนวน 180 คน โดยมีผู้ต้องขังเสื้อแดงที่ขอรับความช่วยเหลือเพียง 151 ราย และกรมคุ้มครองสิทธิฯ ช่วยเหลือเกือบทั้งหมดแล้ว เช่น การจัดหาทนาย ความและขอรับเงินช่วยเหลือในการประกันตัว ส่วนกรณี 104 คนที่รัฐบาลประกาศรายชื่อไปก่อนหน้านี้ ซึ่งหลายรายชื่อใน 104 คนที่กลุ่มเครือญาติผู้ต้องขังเสื้อแดงอ้างว่า มีชื่ออยู่ในกลุ่มต้องให้ความช่วย เหลือแต่ยังไม่ได้รับการประกันตัวแม้จะได้ยื่นขอประกันไปแล้วหลายครั้ง เรื่องดังกล่าวถือเป็นดุลพินิจของศาล กรมคุ้มครองสิทธิฯ ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายอำนาจการพิจารณาได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญในการยื่นเสนอขอประกันตัว จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับหลักทรัพย์ค้ำประกันเพียงอย่างเดียว

เสื้อแดงยุโรปรวมพลปารีสสอดประสานแดงไทย เพรียกหายุติธรรม ประชาธิปไตย ใฝ่หาสันติภาพ




เรา จะอยู่เคียงข้างร่วมต่อสู้ด้วยสิทธิศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อเรียกร้อง ความเป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ประชาชนไทยทุกคนที่ได้ตายไปแล้ว ยังหายใจอยู่ และยังไม่ได้เกิด


โดย Rojana Treiling

ข่าวและภาพกิจกรรมจากกรุงปารีส เมื่อวันเสาร์ที่13 เดือนกุมภาพันธ์ คศ 2011

เพื่อ ให้สอดรับกับการที่พี่น้องเสื้อแดงในเมืองไทยจัดการชุมนุมใหญ่เรียกร้องความ ยุติธรรม ปลดปล่อยนักโทษการเมือง ต่อต้านรัฐประหาร คัดค้านสงครามไทย-กัมพูชา ทางเสื้อแดงยุโรปก้ได้จัดการชุมนุมขึ้นในวันเดียวกันที่ปารีส

ประธาน เสื้อแดงสหภาพยุโรป คุณมนูญ มิ่งชัย พร้อมด้วยรองประธาน คุณขวัญใจ เนตรแสงศรี และคณะกรรมการ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งสหภาพยุโรป หรือ นปช.เสื้อแดงไทยในอียู ได้จัดงานกิจกรรมชุมนุมพร้อม นปช.เสื้อแดงในประเทศไทย เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักโทษการเมือง และร่วมกดดันรัฐบาล เรียกร้องยุติการใช้อาวุธกรณีการสู้รบกับเขมร มีผู้สนใจและสมาชิกมาร่วมชุมนุม 30 คน

นี่เป็นจิตใจรักชาติรักประชาธิปไตย รักความยุติธรรม และเป็นจิตใจสากลที่ปรารถนาสันติภาพอันแท้จริง

The United Front for Democracy Against Dictatorship Thai of Europe (UDD Thai of Eu)นปช.แห่งสหภาพยุโรป คือ องค์กรประชาชน เราสู้ด้วยความจริง อย่างที่เห็น อย่างที่ได้เป็น เราไม่มีความจำเป็นใดต้องใส่ร้าย หรือ ลับ ลวง คราง ไม่ต้องอ้างอิงอำนาจใด รัฐบาลที่เข่นฆ่าประชาชนอย่างสิ้นไร้มนุษยธรรม

เราปฏิเสธรัฐบาล เผด็จการอภิสิทธิ์ ด้วย อำนาจของประชาชนบริสุทธิ์ UDD Thai of EU เกิดจากประชาชนไทยนอกประเทศ โดยประชาชนไทยนอกประเทศในสหภาพยุโรป เราจะอยู่เคียงข้างร่วมต่อสู้ด้วยสิทธิศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เพื่อเรียก ร้องความเป็นธรรมและปกป้องผลประโยชน์ประชาชนไทยทุกคนที่ได้ตายไปแล้ว ยังหายใจอยู่ และยังไม่ได้เกิดทุกคนทั้งใน และนอกประเทศ จากเผด็จการอภิสิทธิ์ชนทุกรูปแบบ

จนกว่าจะได้ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

15.2.54

ทำไม "ม็อบแดง" เติบโต ทำไม "ม็อบเหลือง" ถดถอย จับตา 19 ก.พ. "สึนามิแดง" มาแล้ว



 


ต้องยอมรับว่าปริมาณผู้ชุมนุมคนเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นมากจริงๆ
ถ้าถามแกนนำนปช. อาจบอกว่าเป็นแสน
แต่รายงานของตำรวจนั้นเป็นหลักหมื่น
การถกเถียงเรื่อง "ตัวเลข" นั้น ต่างฝ่ายต่างก็ตีความเข้าข้างตัวเอง

แต่ภาพที่ปรากฏก็คือ จากเวทีตรงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หันหน้าไปทางสี่แยกคอกวัว

"คนเสื้อแดง" เต็มถนนราชดำเนินตั้งแต่หน้าเวทีไปถึงสี่แยกคอกวัว  ส่วนด้านหลังเวทีนั้นยาวเหยียดจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปถึงสะพานผ่านฟ้า

มีบางส่วนล้นไปถึงจปร.

ปริมาณผู้ชุมนุมมากกว่าครั้งก่อนที่ผ่านมา

ในขณะที่ "ม็อบเสื้อเหลือง" ที่ยืนหยัดมานานหลายวันที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ กลับมีจำนวนเพียงแค่หลักพันในช่วงค่ำ และหลักร้อยในช่วงกลางวัน

ยิ่ง "ม็อบ 2 สี" มาประชันกันในวันเดียวกัน  ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างของ "มวลชน" ที่สนับสนุน
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ ทำไม "ม็อบเสื้อเหลือง"จึงลดลงอย่างฮวบฮาบ
และทำไม "ม็อบเสื้อแดง" จึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งถูกปราบครั้งใหญ่ไปเมื่อ 8 เดือนก่อน
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้จะมี "เอเอสทีวี" และสื่อในเครือจำนวนมากเป็น "นางกวัก" เรียกคน

แต่ดูเหมือนว่าพลานุภาพของ "สื่อ" ในเครือจะลดความศักดิ์สิทธิ์ 

ในขณะที่ผู้ชุมนุมตะโกนเรียกคนหน้าจอให้ "ออกมา...ออกมา..."

แต่ "คนหน้าจอ" กลับนิ่งเฉย

ด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะ "พันธมิตร" ในอดีตไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้

หรืออีกด้านหนึ่ง อาจเป็นเพราะปริมาณคนดูเอเอสทีวี ลดน้อยลง

มีการวิเคราะห์กันว่าเหตุผลที่ทำให้ "ม็อบเสื้อเหลือง" ลดลงมาจาก 3 สาเหตุ

สาเหตุแรก คือ ประเด็นการเคลื่อนไหวแบบ "รักชาติ" อย่างรุนแรง ไม่มีเสน่ห์ดึงดูดสำหรับคนไทยในพ.ศ.นี้ 

ปริมาณคนเข้าร่วมจึงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เมื่อทหารไทย ปะทะกับทหารกัมพูชา

ทั้งที่การปะทะกันครั้งนี้น่าจะสร้างกระแส "คลั่งชาติ" เรียกคนมาร่วมชุมนุมได้อย่างถล่มทลาย
แสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับท่าทีของ "พันธมิตร" ในเรื่องนี้

สาเหตุที่สอง มาจาก "คู่ต่อสู้" คือ นายอภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ และพรรคประชาธิปัตย์

"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตที่เข้มแข็งและมีปริมาณมาก  มาจากการหนุนช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนที่นิยมพรรคประชาธิปัตย์
เมื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล-พล.ต.จำลอง ศรีเมือง" เลือกที่จะปะทะกับ "อภิสิทธิ์"
เขาจึงรู้ว่า "ม็อบพันธมิตร" ที่คิดว่าขึ้นตรงกับเขานั้น แท้จริงแล้วมี "ใคร" ชักใยอยู่เบื้องหลัง

แต่กว่าทั้งคู่จะรู้  พล.ต.จำลองและนายสนธิก็ถลำมาไกลเกินกว่าจะถอยหลัง

สาเหตุที่สาม  การเคลื่อนไหวของ "ม็อบพันธมิตร" ครั้งนี้ "เบาบาง" มากในเชิง "มวลชน" แต่ "รุนแรง" มากใน "เนื้อหา" การปราศรัยบนเวที
สนธิทำลาย "มิตร" ในอดีตแบบไม่ไว้หน้า  ไม่ว่าจะเป็น "เปลว สีเงิน" ของไทยโพสต์ "เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง" หรือแม้แต่ "อัญชลี  ไพรีรักษ์" ที่เข้าไปช่วยงาน "จุติ ไกรฤกษ์" ในกระทรวงไอซีที

โจมตีกลุ่มพันธมิตรฯที่ไม่ยอมออกมาชุมนุมว่าหลงความหล่อของ "อภิสิทธิ์"

โจมตี พล.ต.ประยุทธ์  จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก อย่างรุนแรง ฯลฯ
เขาใช้กลยุทธ์เก่าที่เคยได้ผลมาก่อนในอดีต คือ ทำให้ทุกคน "กลัว" ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์  โดยลืมไปว่าพลานุภาพของ "มวลชน" และสื่อในเครือนั้นไม่เหมือนเดิม

ยิ่งนานวัน  กลุ่มพันธมิตรฯก็ยิ่งทำลายตัวเองลงเรื่อยๆ

ยิ่งนานวัน กลุ่มพันธมิตรฯก็รู้แล้วว่าใครคือ "เส้นใหญ่" ตัวจริง
.................
ในอีกด้านหนึ่ง  กลุ่ม "คนเสื้อแดง" กลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
การระดมคนเป็นหมื่นกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดา
แกนนำนปช.ปรับยุทธศาสตร์ใหม่ลด "ความรุนแรง" ลง และใช้วิธี "รักษาจุดร่วม สงวนจุดต่าง" สร้างแนวร่วมมากขึ้น
ที่สำคัญเรื่อง "สองมาตรฐาน" ที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อนำสิ่งที่แกนนำ นปช.ที่ถูกจำคุกโดยไม่ได้ประกันตัวมา

เทียบกับแกนนำ "ม็อบพันธมิตร" ที่เจอข้อหาก่อการร้ายเหมือนกัน  แต่ได้ประกันตัวและออกมานำการเคลื่อนไหวได้

เป้าหมายของ นปช.นั้นต้องการเพิ่มจำนวนคนเข้าร่วมชุมนุมมากขึ้น "เท่าตัว" ทุกครั้ง 
และ 2 ครั้งที่ผ่านมา เขาทำสำเร็จ

การชุมนุมครั้งต่อไปในวันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ แกนนำ นปช.ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชุมนุมอีกเท่าตัว

แม้จะดูเหมือนว่าเป็นการคุยคำโต  แต่วันนี้ไม่มีใครกล้าสบประมาทว่า "เป็นไปไม่ได้"
การเติบโตของ "ม็อบเสื้อแดง" และการถดถอยของ "ม็อบเสื้อเหลือง" นั้นมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสวนทางกัน
"ม็อบเสื้อเหลือง" ในอดีตเคยมีฐานมวลชนหลักคือ "คนกรุงเทพ"

"ต่างจังหวัด" เป็นส่วนเสริม
ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" นั้นต้องพึ่งพาจากคนต่างจังหวัด

การชุมนุมใหญ่ในเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2553 "คนเสื้อแดง" จึงต้องระดมคนอีสานและภาคเหนือเข้ามาในกทม.

เพราะรู้ว่าฐานสนับสนุนในเมืองกรุงนั้นไม่มากนัก

แต่วันนี้กลับเปลี่ยนไป 

"คนกรุง" หนุน "ม็อบเสื้อเหลือง" น้อยลง  สังเกตได้จากปริมาณคนในช่วงเย็นวันธรรมดา ซึ่งตามปกติเคยเนืองแน่น  แต่วันนี้กลับมาจำนวนคนเพิ่มน้อยมาก

ในขณะที่ "ม็อบเสื้อแดง" ที่ชุมนุมในช่วงหลังแบบบ่ายไปดึกกลับ ล้วนแต่เป็นคนกรุงและจังหวัดใกล้เคียง

เขาไม่ได้ระดมคนอีสานและภาคเหนือลงมาเลย

แต่วันเสาร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ "จตุพร" ประกาศบนเวทีว่าจะระดม "คนเสื้อแดง" จากภาคเหนือและอีสานมาร่วมด้วย
ไม่มีใครรู้ว่าการเคลื่อนไหวของ "คนเสื้อแดง"ต่อจากนี้ไปจะเดินไปอย่างไร
แม้แต่ "แกนนำ นปช." เอง
เหตุการณ์ในตูนีเซีย และอียิปต์ ทำให้ "คนเสื้อแดง" ฮึกเหิมขึ้น
เพราะเป็นปรากฏการณ์ที่บอกว่าอะไรที่ทุกคนคิดว่า "เป็นไปไม่ได้"
แท้จริงแล้ว "เป็นไปได้"
"อภิสิทธิ์" ที่เคยชนะในเดือนพฤษภาคม 2553

ก็อาจพ่ายแพ้ได้เช่นกัน

นี่คือ สึนามิการเมืองลูกเดิมระลอกใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง

ประชาไท:สื่อแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทย ติดอันดับ 1 ผู้นำรวยที่สุดในโลก



เวบไซต์ หนังสือพิมพ์แวนคูเวอร์ซัน ของแคนาดา เสนอภาพข่าวที่ทางสำนักพระราชวังเผยแพร่พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวฯทรงโบกพระหัตถ์ให้พสกนิกรชาวไทย เมื่อครั้งงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนม์ 80 พรรษา เมื่อปี 2550 ณ พระบรมมหาราชวัง (ภาพข่าว:Vancouversun)

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา ประชาไท

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เวบไซต์ประชาไท รายงานข่าวเรื่อง สื่อแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทย ติดอันดับ 1 ผู้นำรวยที่สุดในโลก

เว็บไซต์แวนคูเวอร์ซัน สื่อสายอนุรักษ์นิยมของแคนาดารายงานพระมหากษัตริย์ไทยครองอันดับหนึ่งผู้นำ ที่รวยที่สุดในโลก ระบุทรงถือครองที่ดินจำนวนมหาศาล รวมถึงที่ดินในกรุงเทพฯ กว่า 3,500 เอเคอร์

โดยแวนคูเวอร์ซันรายงานโดยจัดอันดับผู้นำที่รวยที่สุดในโลกพร้อมประมาณการทรัพย์สินดังนี้

อันดับหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ประเทศไทย 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

พระ มหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในโลก พระชนมายุ 82 พรรษา ทรงเป็นผู้นำที่รวยที่สุดด้วยเช่นกัน ทรัพย์สินของพระองค์นั้นประกอบด้วยการถือครองที่ดินอย่างมหาศาลรวมไปถึง ที่ดินประมาณ 3,500 เอเคอร์ในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยโต้แย้งการจัดอันดับให้พระองค์เป็นผู้นำที่รวยที่สุด ในโลก โดยให้เหตุผลว่าทรัพย์สินหลายรายการนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์

อันดับที่ 2 สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ก๊าซ ธรรมชาติและน้ำมันของบรูไนเป็นปัจจัยที่ทำให้สุลต่านของบรูไนเป็นผู้นำที่ รวยติดอันดับโลก และก็ใช้เงินไปกับรถยนต์หรู การจ้างไมเคิล แจ็กสันให้เปิดการแสดงเป็นการส่วนพระองค์เพื่อฉลองวันพระราชสมภพ 50 พรรษา ในปี รายงานของศาลแสดงให้เห็นว่าทรงจ่ายเงินค่าจ้างโค้ชแบดมินตันราว 2 ล้านเหรียญสหรัฐ อีก 2 ล้านปอนด์สำหรับค่าฝังเข็มและนวด และค่าจ้างคนทำงานบ้านอีกประมาณคนละ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ

อันดับที่ 3. ชีกห์คาลิฟา บิน ซาเอด อัล นาห์ยัน ประมาณ 18,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ประธานาธิบดี ของสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรสต์ ซึ่งเป็นประเทศที่ถือครองน้ำมันมากติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก ชีค กาลิฟาห์ทรงจ่ายเงิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับการสร้างศูนย์วัฒนธรรม ซึ่งรวมถึงการว่างจ้างแฟรงก์ เกอร์รี่ ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์

อันดับที่ 4 พระราชาอับดุลลาห์ บิน อาบูล อาซิซ ของซาอุดิ อาระเบีย ประมาณ 21,000 ล้านเหรียญ

อันดับที่ 5 ชีกห์มูฮัมหมัด บิน ราชิด อัล มักทูม แห่งดูไบ ประมาณ 12,000 ล้านเหรียญ

ภาพอดีตประธานาธิบดีฮอสนี่ บูมารัก ที่แวนคูเวอร์ซันนำเผยแพร่ในรายงานข่าวนี้ (ภาพ:แวนคูเวอร์ซัน)

อันดับที่ 6 ฮอสนี มูบารัก ประมาณ 10,000 ล้านเหรียญ

อันดับที่ 7 ซิลวิโอ เบลุสโคนี่ ประมาณ 9 พันล้านเหรียญ

อันดับที่ 8 ฮาน อดัมส์ ที่สอง แห่งลิกเตนสไตน์ ประมาณ 3.5 พันล้านเหรียญ

อันดับที่ 9 เอมิร์ แห่งการ์ตาร์ ประมาณ 2 พันล้านเหรียญ

อันดับที่ 10 อาซิฟ อาลี ซาดารี ประธานาธิบดuแห่งปากีสถาน ประมาณ 1.9 พันล้านเหรียญ

กระทรวงต่างประเทศเคยแจงสื่อต่างประเทศเสนอคลาดเคลื่อน

อย่างไรก็ตามกระทรวงต่างประเทศเคยชี้แจงกรณีที่นิตยสารฟอร์บส์ เสนอบทความพิเศษของนิตยสาร Forbes เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด ดังต่อไปนี้

ตาม ที่ เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2551 นิตยสาร Forbes ได้เผยแพร่บทความพิเศษเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก ประจำปี พ.ศ. 2551 และได้จัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอยู่ในลำดับแรก ของพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด นั้น สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ได้ชี้แจงว่า บทความดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากว่า ทรัพย์สินที่บทความนำมาประเมินนั้น ในความเป็นจริง มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่เป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่น ที่บทความเดียวกันนี้ไม่ได้จัดอันดับฐานะความร่ำรวย เพราะทรัพย์สินต่างๆ ไม่ใช่ของกษัตริย์ หากแต่เป็นของคนทั้งชาติ

สำนักงานทรัพย์สินฯ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “ที่ดิน” ในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการ องค์กรสาธารณะกุศลเป็นผู้ใช้ประโยชน์ และจัดให้ประชาชน ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย รวมทั้งชุมชนอีกกว่าหนึ่งร้อยแห่ง เช่าในอัตราที่ต่ำ มีเพียงส่วนน้อยประมาณร้อยละ 7 ของที่ดิน ที่จัดให้เอกชนเช่าและจัดเก็บในอัตราเชิงพาณิชย์

กระทรวงการต่าง ประเทศขอเรียนเพิ่มเติมว่า บทความพิเศษดังกล่าวยังได้พาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่าทรงเกี่ยว ข้องกับการปฏิวัติ เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 ซึ่งไม่ถูกต้อง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติดังกล่าวแต่อย่างใด การที่ทรงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นเพียงหน้าที่ขององค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะที่ทรงเป็นพระประมุขของประเทศ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงไปยังนิตยสาร Forbes ด้วยแล้ว

Forbesอ้างเหตุผลในหลวงทรงมีพระราชอำนาจเต็มในการจัดการทรัพย์สินจึงนับเป็นพระราชทรัพย์

อย่างไรก็ตามในปีถัดมา คือพ.ศ.2552 Forbes ยัง คงจัดให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเป็นกษัตริย์ที่ทรงมั่งคั่งที่สุดในโลก อีกปี(และจัดอันดับที่1ของโลกเป็นปีที่3ติดต่อกันในปีพ.ศ.2553 ด้วย)โดยForbesอ้างเหตุผลว่า

ฟอร์บส์ระบุด้วยว่า ความมั่งคั่งของราชวงศ์มาจากมรดกตกทอดหรือตำแหน่งทางอำนาจ มักจะถูกแบ่งปันกันในเครือญาติ และหลายๆครั้งที่มันหมายถึงเงินที่ถูกควบคุมโดยราชวงศ์ในรูปของกองมรดก (trust) สำหรับประเทศหรืออาณาเขต และด้วยเหตุผลนี้ ราชวงศ์ทั้ง 15 ราชวงศ์ในรายชื่อนี้ขาดคุณสมบัติที่จะถูกจัดอันดับประจำปีของเราในบุคคลที่ ร่ำรวยที่สุด ไม่ว่าเขาจะมีสินทรัพย์เท่าไร

ยกตัวอย่างเช่น กษัตริย์ Mswati ที่ 3 ของ Swaziland เป็นผู้รับผลประโยชน์ของ 2 กองทุนที่จัดตั้งขึ้นโดยบิดาของเขาใน trust ของประเทศ Swaziland ในช่วงที่ครองราชย์เขามีอำนาจตัดสินใจเบ็ดเสร็จในการใช้เงินที่เป็นรายได้ จาก trust นั้น ซึ่งทำให้เขาสามารถสร้างราชวังให้กับมเหสี 13 พระองค์และพำนักอยู่ในโรงแรมระดับ 5 ดาวเมื่ออยู่ต่างประเทศ

เช่น เดียวกัน เรารวมทรัพย์สินของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของไทยในส่วนของ ทัรพย์สินของกษัตริย์ภูมิพลเพราะพระองค์เป็นผู้มีอำนาจเต็มในกองมรดก (trustee) อย่างไรก็ตามรัฐบาลไทยไม่เห็นด้วยและออกมาประกาศว่าทรัพย์สินของสำนักงาน ทรัพย์สินไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของกษัตริย์ แต่สำนักงานทรัพย์สินครอบครองและบริหารทรัพย์สินของสถาบันกษัตริย์ในนามของ ประชาชนชาวไทย

ตรงกันข้าม ราชวัง Buckingham และเครื่องเพชรของราชวงศ์ถือว่าเป็นสมบัติของชนชาติอังกฤษ ไม่ใช่ของพระราชินี Elizabeth เพราะฉะนั้นมันไม่ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์สินของพระองค์ แต่ทรัพย์สมบัติของพระองค์มาจากอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษและสก๊อตแลนด์ ภาพศิลปะ อัญมนี และแสตมป์สะสมโดยพระอัยกา

สมศักดิ์ชี้จุดเปลี่ยนที่ทำให้กลายเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ เชื่อForbesยังประเมินรต่ำกว่าความจริง

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ เขียนบทความเรื่องว่าด้วยการ"นิยาม"และการปฏิบัติบางประการเรื่อง "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ชี้ว่า
"พร บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2491 ยกอำนาจในการควบคุม "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กลับไปให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการยกเลิกการแยกแยะว่า "อันไหนเป็นส่วนพระองค์ อันไหนเป็นส่วนพระมหากษัตริย์" นั่นคือ ทำให้ "ทรัพยสินส่วนพระมหากษัตริย์" มีฐานะเป็นเหมือนทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ไป ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐ (ถ้าเป็นของรัฐ จะต้องให้รัฐจัดการ และในเมือรัฐเป็นรัฐประชาธิปไตย การจัดการนั้น ก็ต้องอยู่ภายใต้ accountability เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของรัฐ)


ดร.สมศักดิ์ ให้ความเห็นในกระดานสนทนาคนเหมือนกันว่า อันที่จริง ต้องถือว่า Forbes ยัง "ประเมินพระราชทรัพย์" ต่ำกว่าทีเป็นจริงแน่ เพราะไม่มีการประเมิน "ทรัพย์สินส่วนพระองค์" ซึ่งน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยทีเดียว

********
รายงานเกี่ยวเนื่อง:

-กระทรวงต่างประเทศชี้แจงกรณี:บทความพิเศษของนิตยสาร Forbes เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุด

-Forbesเทิดพระเกียรติในหลวงเป็นกษัตริย์มั่งคั่งที่1ของโลก3ปีซ้อน

-Bloomberg:กษัตริย์ไทยครองแชมป์อันดับ1ในตลาดหุ้นไทย

-สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ สมบัติของใคร? : รัฐ หรือ กษัตริย์

ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล:ว่าด้วยการ"นิยาม"และการปฏิบัติบางประการเรื่อง "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" ในบทความนี้ดร.สมศักดิ์ชี้ว่า
"พร บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2491 ยกอำนาจในการควบคุม "ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์" กลับไปให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเท่ากับว่า เป็นการยกเลิกการแยกแยะว่า "อันไหนเป็นส่วนพระองค์ อันไหนเป็นส่วนพระมหากษัตริย์" นั่นคือ ทำให้ "ทรัพยสินส่วนพระมหากษัตริย์" มีฐานะเป็นเหมือนทรัพย์สินส่วนพระองค์ของพระมหากษัตริย์ไป ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐ (ถ้าเป็นของรัฐ จะต้องให้รัฐจัดการ และในเมือรัฐเป็นรัฐประชาธิปไตย การจัดการนั้น ก็ต้องอยู่ภายใต้ accountability เช่นเดียวกับส่วนอื่นๆของรัฐ)


-กรณีตัวอย่างที่สถาบันกษัตริย์ สามารถปฏิเสธรัฐประหาร และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐประหารพ่ายแพ้ได้ : "กบฏยังเติร์ก" 2524

ของดีเลยมาสายหน่อย นี่ไงพบแล้วหลักฐานต้นเหตุไทยรบเขมร ไก่อูมีอะไรจะแถ-ลง ลวงโลกอีกมั้ย?!




แปลก แต่เป็นเรื่องจริง หลังการปะทะไม่มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับสื่อไทย จากผู้นำกองทัพว่าเกิดอะไรขึ้น และอะไรเป็นสาเหตุของการปะทะ ..ข่าวตอนแรกสับสนว่าทหารไทยไปคัดค้านทหารเขมรสร้างทางในพท. 4.6 ข้อเท็จจริงคือตรงกันข้ามครับ


โดย Nipaporn Freedom
ที่มา เฟซบุ๊คของคุณเสริมสุข กสิติประดิษฐ์

นี่ ไงพบแล้ว หลักฐานที่เป็นต้นเหตุของการยิงปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในวันที่ 4 ก.พ.54 ไก่อู แถ-ลง คนไทยและชาวโลก ลำดับเรื่องราวกันดูคร่าวๆ ค่ะ อย่าเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อของไก่อู

: ของดีเลยมาสายไปหน่อย..เป็นภาพที่ทหารในกองทัพส่งมาให้ดูเลยเอามาให้ดูต่อ.. รถแทรกเตอร์ที่เป็นของทหารกองทัีพภาคสองที่ตัดเส้นทางเข้าไปในพท.4.6 จากบริเวณสระตราวที่อยู่ทางตอนเหนือของปราสารพระวิหารประมาณ 800 เมตร มีการรุกในพท.ของทหารไทยตัดถนนเข้าไปใน 4.6

ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรก ที่ทหารไทยภายใต้การนำของบิ๊กตู่ ตัดสินใจเช่นนี้ เหตุการณ์เกิดตอนบ่ายสามโมงของวันพุธที่4 กพ. ระหว่างตัดทางเข้าไปและยังอยู่ในเขตไทย แต่กำลังจะเข้าไปใน พท.4.6 ทหารเขมรยิง RPG ใส่รถแทรกเตอร์ของไทย

จากนั้นก็เกิดการสู้รบลามไป ถึงภูมะเขือที่อยู่ห่างจุดปะทะตรงแทรกเตอรืไปทางตะวันตกประมาณสองกม. ตอนทหารเขมรสร้างทางขึ้นมาใน 4.6 ทหารไทยหวานเย็นมาตลอด ไม่เคยทำอะไรทีเป็นรูปธรรม แต่พอเราตัดถนนเข้าไปใน พท.4.6 ทหารเขมรแสดงสิทธิ์ในการปกป้องอธิปไตยของมันทันทีด้วยการยิง RPG ใส่

แปลก แต่เป็นเรื่องจริง หลังการปะทะไม่มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับสื่อไทยจากผู้นำกองทัพว่าเกิดอะไร ขึ้น และอะไรเป็นสาเหตุของการปะทะ ..ข่าวตอนแรกสับสนว่าทหารไทยไปคัดค้านทหารเขมรสร้างทางในพท. 4.6 ข้อเท็จจริงคือตรงกันข้ามครับ

ผบ.ทบ.สั่งให้กองทัพภาคสอง ปรับการทำงานในพท.4.6 และให้ตัดทางเข้าไปในพท. 4.6 จากสระตราว เพราะตระหนักดีว่าสภาพการณ์ที่เป็นอยู่เราเป็นรองมากหลายช่วงตัว เนื่องจากทหารเขมรอยู่เต็มพท.4.6 ตั้งแต่ปราสาท วัดแก้ว และถนน (กลับไปดูแผนที่ที่ผมเคยเอามาลงดูอีกทีนะครับจะได้เข้าใจ) มีการสร้างเสริมที่มั่นทางทหารในพท. ถ้ารบกันเราอาจเสียเปรียบเนื่องจากมันอยู่มานานมีการดัดแปลงพท.เป็นพท.สู้รบ เลยจำเป็นต้องตัดถนนเข้าไปในพท. เพื่อขนทหารเข้าไปหากสู้รบกันยาว

เรื่อง นี้ท่านฮวยเซง รับทราบดีถึงการรุกคืบของทหารไทย ก่อนหน้านี้ไม่มีนะครับ ไม่ได้ทำอะไรเลย เอาทหารไปวางไว้เฉยๆ ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้นนอกจากรักษาพท. แล้่ววันดีคืนดีก็เอากำลังออกจากวัด ขึ้นไปทางตอนเหนือ อย่างนี้ก้เสร็จมัน ยังมึนงงจนทุกวันนี้ว่าคิดอย่างนี้ได้อย่างไร ปรับอย่างนั้นเข้าteen มันเลย

14.2.54

คาร์บอมบ์ยะลา จงใจหรือหมั่นใส้




ผู้ต้องสงสัย?-นาย มะแซ อุเซ็ง หรือ อุสตาซแซ(ภาพบน)แกนนำกองกำลังBRN Co-ordinate ภาพซ้ายเป็นภาพเก่าที่ทางการไทยออกหมายจับ ส่วนภาพด้านขวาเป็นรูปในปัจจุบัน (ภาพล่าง)โดยภาพล่าสุดนั้นขยายจากภาพถ่ายร่วมกับนายนัจมูดดิน อูมา ส.ส.นราธิวาส ภาพนี้เชื่อกันว่าถ่ายในมาเลเซีย อย่างไรก็ตามผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ฝีมือคาร์บอมบ์หนล่าสุดที่ยะลาไม่ใช่ฝีมือของอุสตาซแซ


โดย ปะแด งา มูกอ
14 กุมภาพันธ์ 2554

ลอบ วางระเบิดประกอบรถยนต์ (คาร์บอมบ์) กลางเมืองยะลา ทหารบาดเจ็บสาหัส 3 นาย ตำรวจ 1 นาย ประชาชน บาดเจ็บ 13 ราย เพลิงเผาผลาญร้านค้า 15 คูหา

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา 09.50 น.


ศูนย์ วิทยุ สภ.เมืองยะลา ได้รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดขึ้นที่บริเวณ ถนน ณ.นคร เยื้องธนาคารนครหลวง เขตเทศบาลนครยะลา มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

จุดเกิดเหตุอยู่หน้าร้านเฮนเบเกอรี่ เลขที่ 33 ถนน ณ นคร ต.สะเตง มีผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดทันทีจำนวนหลายราย
ประกอบด้วย

1.ส.อ.ชานนท์ สองแก้ว อายุ 26 ปี (บาดเจ็บสาหัส)
2.จ.ส.ท.ประสิทธิ์ อิสโร อายุ 35 ปี (บาดเจ็บสาหัส)
3.พลทหารวรินทร์รัตน์ จันทร์ดี อายุ 22 ปี (บาดเจ็บสาหัส)
4.ส.ต.อ.ชาติ ประไมยะ อายุ 31 ปี สังกัด ภ.จ.ยะลา
5.น.ส.อังคณางค์ ภัทรพงศ์ อายุ 20 ปี
6.นายเดชณรงค์ พันโท อายุ 25 ปี (บาดเจ็บสาหัส)
7.น.ส.ชลัยพร เรือนธรรม อายุ 42 ปี
8.นายสมศักดิ์ รักษ์พงษ์ อายุ 35 ปี
9.นางศิริพร เรือนธรรม อายุ 38 ปี
10.นางทักษิณา วงศ์จุมปู อายุ 30 ปี
11.นายหมู แซ่เสี้ยว อายุ 59 ปี
12.ด.ช.นิลพัทธ์ แก้วเกาะสะบ้า อายุ 5 ปี
13.นายสุวัฒน์ ไตรรงค์เจริญสุข อายุ 31 ปี
14.นายสมมาตร บุญรุ่ง อายุ 42 ปี
15.นายธนันต์ ฉั่วพานิชย์ อายุ 54 ปี
16.นางปภาดา ผิวเกลี้ยง อายุ 61 ปี
17.นางเตือนใจ กลัดทอง อายุ 44 ปี

เจ้าหน้าที่กู้ภัยร่วมกันลำเลียง ส่งโรงพยาบาลศูนย์ยะลา แรงระเบิดทำให้เกิดเพลิงเผาผลาญบ้านเรือนไปรวม 15 คูหา

ที่เกิดเหตุพบซากรถกระบะคาร์บอมบ์ยี่ห้อโตโยต้าดีแม็กซ์ยังไม่ทราบหมายเลข ทะเบียนสภาพพังยับเยิน อาคารร้านค้าฝั่งตรงข้ามได้รับความเสียหารพร้อมรถยนต์เก๋ง กระบะและรถจักรยานยนต์รวมกว่าสิบคัน พบระเบิดแสวงเครื่องที่อัดไว้ในถังแก๊สปิกนิกอีกลูกวางอยู่ พื้นถนนใกล้ซากรถคาร์บอมบ์

เจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ภ.จ.ยะลา ไปจัดการเก็บกู้ไว้ได้สำเร็จ ห่างจากจุดระเบิดไปราว 10 เมตร พบรถปิกอัพยี่ห้ออิซูสุทะเบียน บต-6817 ปัตตานี จอดอยู่กลางถนน บนกระบะท้ายมีสัมภาระเครื่องอุปโภคบริโภค เป็นรถของเจ้าหน้าที่ทหาร พบสะเก็ดระเบิดตัดจากเหล็กเส้นกระจัดกระจายเป็นวงกว้าง

การสอบสวนทราบว่า กล้องวงจรปิดในบริเวณจุดเกิดเหตุ สามารถบันทึกภาพของคนร้ายที่นำรถคันดังกล่าวมาจอดได้ โดยเมื่อเวลาประมาณ 07.30 น. คนร้ายได้ขับรถยนต์กระบะดีแมกซ์ มาจอดตรงจุดเกิดเหตุ แล้วเดินลงจากรถข้ามฝั่งไปยังด้านหน้าของธนาคารนครหลวงไทย สาขายะลา

จน กระทั่งเวลาประมาณ 09.50 น.ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 14 ขับรถยนต์กระบะอีซูซุ หมายเลขทะเบียน บต.6817 ปัตตานี ผ่านมา คนร้ายจึงกดระเบิดขึ้น ทำให้เจ้าหน้าที่ทหารและชาวบ้านบาดเจ็บดังกล่าว ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้นำภาพจากกล้องวงจรปิดที่สามารถบันทึกภาพของคนร้าย เอาไว้ได้ มาเทียบกับกลุ่มคนร้ายเป้าหมายแล้ว

สำหรับระเบิดที่คนร้ายนำมาซุกซ่อนอยู่ในรถคันดังกล่าว เป็นระเบิดชนิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊สปิกนิกจำนวน 4 ลูก น้ำหนักลูกละ 30 กก. เนื่องจากยังมีถังแก๊สปิกนิกบรรจุระเบิด กระเด็นออกจากตัวรถอีก 1 ถัง และไม่ได้เกิดระเบิดขึ้น ถังน้ำมันขนาด 5 ลิตร ที่ใส่ไว้ในรถ จำนวน 8 ถัง จุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ

นี่คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชน อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ทราบว่าไอ้บ้าคนไหนเป็นผู้กระทำ ทั้งที่หน่วยข่าวความมั่นคงในจังหวัดชายแดนใต้ ได้รับรายงานหรือว่านั่งเทียนเขียนรายงาน ว่าจะเกิดเหตุการณ์การลอบวางระเบิดประกอบรถยนต์ [CAR BOMB] ในตัวเมืองจังหวัดยะลา ดังปรากฏในรายละเอียดของรายงาน

วันจันทร์ที่ 3 มกราคม 2554

หน่วยข่าวความมั่นในพื้นที่ภาคใต้รายงานงานว่า นายมะแซ อุเซ็ง หรือ อุสตาซแซ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33/1 บ.เจาะเกาะ ม.1 ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส แกนนำฝ่ายปกครองระดับกัส (เขต) ได้เรียกประชุมสมาชิกกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ที่บาลาเซาะ บ.ดาบง อ.กัวลากรัย รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีสมาชิกเดินทางไปร่วมประชุมประมาณ 30 คน

เบื้องต้นทราบชื่อจำนวน 3 คน ประกอบด้วย นายมะปีเยาะ ฮูแตมา นายมุสตากิน ฮูแตมาแจ นายเปาะดายะ ปุลากาซิง โดยสาระสำคัญในการประชุมมีการกล่าวถึงความสูญเสียของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง ในพื้นที่ต่างๆ ทั้งที่เสียชีวิตจากการปะทะกับเจ้าหน้าที่และถูกจับกุม

ที่ประชุมยังได้พูดถึงแนวทางการต่อสู้ใน ปี 2554 คือให้สมาชิกปฏิบัติการ โดยแต่งกายเหมือนเจ้าหน้าที่ขณะออกปฏิบัติการก่อเหตุต่อเป้าหมายต่างๆ ให้ประชาชนที่พบเห็นเข้าใจว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพิ่มความถี่ในการปฏิบัติการต่อเป้าหมายที่เป็นคนไทยพุทธ โดยใช้วิธีลอบวางระเบิดและยิง เพื่อสร้างความหวาดกลัวแก่คนไทยพุทธที่ยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่

ตลอด จนตรวจสอบพฤติกรรม กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สมาชิก อบต. และผู้นำศาสนา ที่ให้ความร่วมมือกับทางราชการ และเร่งกำจัดโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น

มีแผนที่จะให้สมาชิกกลุ่มผู้ ก่อเหตุรุนแรงระดับปฏิบัติการที่ยังไม่ถูกเปิดเผยพฤติกรรม และไม่มีหมายจับให้ใช้ชีวิตตามปกติ โดยไม่ต้องหลบหนี เพื่อคอยตรวจสอบการเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ และให้สร้างมวลชนในพื้นที่ต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเยาวชน ให้คัดเลือกเข้ารับการฝึกเป็นกองกำลังในการปฏิบัติการต่อไป

พร้อมสั่งการให้กลุ่มของนายมาหามุ มะแตหะ และนายซาการียา บาเหะ เดินทางเข้าไปในพื้นที่ จ.ยะลา เพื่อก่อเหตุลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์ในเขตเทศบาลนครยะลา ในช่วงวันที่ 30 ธ.ค.53 - 5 ม.ค.54 โดยรถที่จะใช้ก่อเหตุคาร์บอมบ์ระบุเป็นรถเก๋ง ยี่ห้อมิตซูบิชิ รุ่นแชมป์ สีขาว ไม่ทราบแผ่นป้ายทะเบียน จะนำรถไปจอดบริเวณหน้าสถานบันเทิงในเขตเทศบาลนครยะลา จากนั้นจะมีสมาชิกแนวร่วมใช้ รถจักรยานยนต์รับในการหลบหนี

เมื่ออ่าน ดูตามเนื้อข่าวของรายงาน มันก็ล่วงเวลามานานเป็นเดือนแล้ว รวมถึงเจ้ารถคาร์บอมบ์มันก็คนละเรื่องกันเลย ยิ่งสถานที่ยิ่งไปกันใหญ่ จึงไม่น่าจะเป็นฝีมือของพ่อเจ้าประคุณ มะแซ อุเซ็ง เป็นแน่แท้

ในเมื่อไม่ใช่ฝีมือลูกน้อง มะแซ อุเซ็ง เป็นคนทำ แล้วไอ้ลูกผีเปรตตนใดที่เป็นคนทำ

ประเด็น นี้น่าคิด เพราะมันมีเหตุการณ์อันหนึ่งที่ชวนให้ฉุกคิด คือภายหลังจากวันสวนสนาม ครบรอบวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน (10 ก.พ. 54) แล้ว มีกระแสข่าวว่า ยะลาถ้าจะไม่รอดอีกคราวนี้ เพราะทะลึ่งมาแสดงแสนยานุภาพเพื่อเป็นความข่มขวัญฝ่ายตรงกันข้าม คงจะต้องมีเหตุการณ์รับขวัญอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ และแล้วมันก็เป็นจริงขึ้นมา


(วันที่ 10 ก.พ.) ที่บริเวณลานฝึกศูนย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ (ศชต.) ถ.สุขยางค์ เขตเทศบาลนครยะลา อ.เมือง จ.ยะลา นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย/รองผู้บัญชาการกองอาสารักษาดินแดน เป็นประธานในพิธีกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ และสวนสนาม เนื่องในวันครบรอบวันสถาปนากองอาสารักษาดินแดน โดยมี นายภาณุ อุทัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงมาหดไทย ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (เลขาธิการ ศอ.บต.) พล.ต.ท.ไพฑูรย์ ชูชัยยะ ผู้บัญชาการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผบช.ศชต.) นายกฤษฎา บุญราช ผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา หัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ สมาชิกอาสารักษาดินแดน จ.ยะลา ปัตตานี นราธิวาส และ 4 อำเภอของ จ.สงขลา เข้าร่วมในพิธีสวนสนาม จำนวน 825 นาย

นายถาวร เสนเนียม ได้กล่าวในพิธีสวนสนามว่า
“และตั้งแต่ปี 2555 เป็นต้นไป ทหารที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะต้องถอนกำลังกลับไปปฏิบัติภารกิจป้องอริราชศัตรู ไม่ให้รุกล้ำเขตแดนไทย ซึ่งหลังจากนี้ จะมีการเพิ่มกำลังพลอาสารักษาดินแดน ทั้ง 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 12,000 นาย ในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของอาสารักษาดินแดนนั้น จะอยู่ในรูปแบบของกองกำลังประจำถิ่น

รัฐบาลมีความมั่นใจว่า กองกำลังภาคประชาชนจะปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ได้ประสบผลสำเร็จ เนื่องจากเป็นกองกำลังที่รู้จักคน รู้จักภูมิประเทศ และรู้จักขนบธรรมเนียมประเพณี ง่ายแก่การสร้างความเข้าใจ ส่วนความพร้อมด้านสมรรถนะทางด้านร่างกาย และจิตใจได้มีการฝึกการปฏิบัติการพิเศษให้แก่อาสารักษาดินแดนด้วย”


ด้วยเหตุการณ์สวนสนามครั้งนี้แหล่ะ ที่ประชุมของสภากาแฟ จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ยะลาโดนเรื่องนี้แหงๆ............


ข้อเตือนสติ

ปัตตานี มันสมองสั่งการ
นราธิวาส มันสมองปฏิบัติการ
ยะลา มันสมองทำลาย (สัญลักษณ์หน่วยงานของรัฐ)


*******
ข่าวเกี่ยวเนื่อง:
-เหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ สมัยรัฐบาลนี้ ตายแค่ 900 ศพ …!!!!

13.2.54

รวบอันธพาลการเมืองพธม.พกระเบิดปิงปองจ้องป่วนเสื้อแดง ชม+ฟังถ่ายสดอัมสเตอร์ดัม-ทักษิณโฟนอิน




ชมถ่ายทอดสดนปช.แดงทั้งแผ่นดิชุมนุม คลิ้ก หรือ คลิ้กที่นี่ รับฟังถ่ายทอดทางวิทยุในเขตกรุงเทพฯที่คลื่นFM91.75 FM95.75 FM102.75 โดยวันนี้โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายฝรั่งของนปช.จะโฟนอินราว19.00น. และอดีตนนายกฯทักษิณจะโฟนอินเวลา20.30น.(ภาพชุดการชุมนุมหน้าศาลอาญา ช่วง12.30-15.00น.โดย 2chum )

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
13 กุมภาพันธ์ 2554

*ข่าวนี้มีการอัพเดตเป็นระยะ


ภาพมติชนออนไลน์ ขบวนเสื้อแดงขณะเคลื่อนขบวนออกจากศาลอาญา


กลุ่มผู้ชุมนุมที่ไปรออยู่ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (ภาพเนชั่น) และเมื่อผู้ชุมนุมจากศาลอาญาเดินทาวมาถึง(ภาพ:ชมภาพชุดมติชนออนไลน์)

สำนักข่าวเนชั่น รายงาน ข่าวว่า พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช .เปิดเผยว่า ตร.รวบ 3 ผู้ต้องหาพกระเบิดปิงปอง 63ลูก หน้าวัดมกูฎกษัตริยาราม ใกล้พื้นที่ม็อบพันธมิตร(พธม.) บริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเมื่อเวลา 17.30 น. พล.ต.อ.วิชัย สังข์ประไพ ผบก น.๑ แถลงจับผู้ต้องหาระเบิดปิงปอง 63 ลูก โดยผู้ต้องหาทั้ง 3ราย รับสารภาพว่าเตรียมไว้ขว้างเจ้าหน้าที่ หากสลายการชุมนุมของกลุ่มพธม.และ ขว้างเสื้อแดงนปช.หากเข้ามาป่วนในพื้นที่ชุมนุม

ขณะที่การชุมนุมของ พธม.บริเวณหน้าทำเนียบรัฐบาล จำลอง ศรีเมือง ระแวงหนักอ้างว่า แจงเขมรมาป่วนที่ชุมนุม ต้องขอตรวจบัตรประชาชนก่อนเข้าออกพื้นที่ชุมนุม ทั้งนี้จากรายงานข่าวของเวบASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงของพันธมิตร

มติชนออนไลน์ รายงานว่า เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เป็นไปด้วยความตึงเครียดเนื่องจาก นปช.ได้ทยอยกันมารวมตัวกันที่บริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย จนล้นมาถึงแยก จปร.ทำให้การ์ดพันธมิตรต้องมีการเสริมกำลังรักษาปลอดภัยบริเวณหลังเวทีเชิง สะพานมัฆวานฯ อย่างแน่นหนา

ขณะที่ จำลอง ศรีเมือง แกนนำ พธม. ต้องเดินตรวจตราบริเวณแนวกั้นของพันธมิตรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และใช้กล้องส่องทางไกลส่องดูความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเป็นระยะ ขณะเดียวกันมีข่าวลือสะพัดในกลุ่มของการ์ดพันธมิตรว่าจะมีชาวกัมพูชาแฝงตัว เข้ามาสร้างความปั่นป่วนในที่ชุมนุมทำให้การ์ดทุกจุดตรวจตราบุคคลที่เข้า ออกอย่างเข้มงวดถึงกับมีการตรวจบัตรประชาชนทุกคน

ทั้งนี้นปช.แดงทั้ง แผ่นดินได้เริ่มรวมตัวกันที่หน้าศาลอาญา เมื่อเวลา 13.30 น. นายวรวุฒิ วิชัยดิษฐ์ โฆษก นปช. ได้อ่านจดหมายของแกนนำนปช. ที่ถูกจำคุกในเรือนจำ ใจความว่า กระผมแกนนำ นปช. ผู้ต้องคดีก่อการร้ายจากการชุมนุมทางการเมือง 2553 ซึ่งถูกกักขังนานกว่า 9 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับสิทธิประกันตัว มีความทุกข์ทั้งร่างกายและจิตใจ จึงเขียนจดหมายปรับทุกข์กับผู้พิพากษา ดังนี้

1.ถูกตั้งข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ผู้ก่อคดีในจังหวัดชายแดนภายใต้เป็นเพียงผู้ก่อความไม่สงบเท่านั้น

2.การสั่งคดีของดีเอสไอ ซึ่งดีเอสไอให้ข่าวรายวันว่าจะส่งฟ้อง ทั้งที่ยังไม่รวบรวมพยานหลักฐานได้เสร็จ

3.กระบวนการพิจารณาคดี มีการยื้อคดีให้นานกว่าปกติ

4.สิทธิการประกันตัว แม้ผ่านมาแกนนำยังไม่เคยหลบหนีคดีและได้ยื่นประกันตัวหลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการประกันตัว

5.สอง มาตรฐาน แกนนำนปช. ไม่ได้รับการประกันตัว ขณะที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งถูกข้อหาก่อการร้ายเช่นกัน ขณะนี้คดีอยู่ในชั้นตำรวจและได้รับการประกันตัว

จากนั้นนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำนปช. ได้ร่วมกันวางดอกกุหลาบสีแดงหน้าป้ายศาลอาญา ก่อนจะนำผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย

อย่างไรก็ ตาม ก่อนหน้านี้นายจตุพร กล่าวว่า หากแกนนำผู้ชุมนุมยังไม่ได้รับการประกันตัว ในเดือนมีนาคมนปช.จะกลับมาชุมนุมหน้าศาลอาญาอีกครั้ง และยืนยันว่าจะไม่มีการปะทะกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอย่าง แน่นอน

เราไม่เอาสงคราม

12.2.54

อียิปต์ ชัยชนะของประชาชน ประชาชนจงเจริญ!!!

 




โดย ใจ อึ๊งภากรณ์

ประชาชนอียิปต์ได้รับชัยชนะในการล้มอำมาตย์มูบารักหลังจากที่เคลื่อนไหวมา 18 วัน การปฏิวัติอียิปต์ถูกนิยามโดยผู้เข้าร่วมต่อสู้ว่าเป็น “การปฏิวัติเพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์”

และบทเรียนแหลมคมสองบทที่คนเสื้อแดงจะได้จากชัยชนะของประชาชนอียิปต์คือ

1. การต่อสู้ของมวลชนเป็นเรื่องชี้ขาด
2. การนัดหยุดงานทั่วไปสามารถกดดันอำมาตย์ในด้านเศรษฐกิจและนำไปสู่ชัยชนะได้


ความสำคัญของมวลชนเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอย่างมากในไทย หลายคนหันหลังให้มวลชน เพื่อไปพูด “เอามัน”เรื่องการจับอาวุธ หรือเพื่อด่าแกนนำว่า “พาคนไปตาย” หรือเพื่อเสนอว่า เราสู้เองไม่ได้ถ้าไม่พึ่งพิงผู้ใหญ่ ไมว่าจะเป็นนายทุน หรือทหารแตงโม การปฏิวัติอียิปต์พิสูจน์ว่าก ารหันหลังให้มวลชนเป็นทางตันที่จะพาเราไปสู่ความพ่ายแพ้และการยอมจำนน

การลุกฮือของประชาชนอียิปต์ไม่เคยง่าย อำมาตย์อียิปต์ครองอำนาจมา 30 ปี ในเวลานั้น มีการปราบ ขัง ฆ่า ทรมาณ นักเคลื่อนไหวที่ต้องการประชาธิปไตย มีการปราบปรามและกดขี่สหภาพแรงงานอย่างต่อเนื่อง มีการเซ็นเซอร์สื่ออย่างเบ็ดเสร็จ และล้างสมองประชาชนด้วยนิยายชาตินิยม และเมื่อประชาชนแสดงความกล้าหาญในการลุกสู้เมื่อเดือนมกราคม อำมาตย์อียิปต์ก็ลงมือฆ่ากว่า 300ศพ บาดเจ็บเป็นพัน

สาเหตุสำคัญที่ทหารอียิปต์ยังไม่ปราบฆ่าประชาชนก็เพราะมวลชนไปมุงล้อมคุยและกดดันทหารชั้นล่าง พวกนายพลอำมาตย์เลยไม่แน่ใจว่าจะสั่งทหารเกณฑ์ได้หรือไม่

ดังนั้นคนที่แก้ตัวว่า “อียิปต์ไม่เหมือนไทย” เป็นคนที่พยายามหาข้อแก้ตัวว่าทำไมเราสู้ไม่ได้และต้องยอมจำนนเป็นทาสตลอดกาล

แน่นอนการต่อสู้ในโลกจริงไม่เคยมีหลักประกันว่าจะชนะเสมอ คนเสื้อแดงทราบดีด้วยความเจ็บปวด แต่วิธีการต่อสู้มีความสำคัญในการช่วยให้มวลชนชนะ การปฏิวัติอียิปต์ระเบิดขึ้นเพราะมีการเคลื่อนไหวแบบ “แกนนอน” ทุกคนนำตนเอง ไม่มีใครสั่งให้เลิกหรือปรองดองได้ง่ายๆ พวกฝ่ายค้านเก่าที่อนุรักษ์นิยมและหวาดระแวง เช่นพรรค “พี่น้องมุสลิม” ไม่ได้มีส่วนในการริเริ่มการต่อสู้ และกล้าๆ กลัวๆ ในการสนับสนุนในระยะเริ่มแรก ถ้าไม่มีแกนนอน การปฏิวัติจะไม่สำเร็จหรืออาจไม่เกิดเลย

แต่การนำแบบ “แกนนอน” เริ่มมีจุดอ่อนเมื่อถึงทางแยกสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อประชาชนอียิปต์ประสบความสำเร็จในการล้มมูบารัก เพราะคำถามต่อไปมีมากมาย เช่น

· จะไว้ใจกองทัพได้หรือไม่ ในเมื่อนายพลเป็นส่วนหนึ่งของระบอบเก่า?

· จะกีดกันไม่ให้นักการเมืองฉวยโอกาสมากินกำไรฟรีๆ จากการปฏิวัติ? เช่นคนอย่าง โมฮัมมัด เอลบอรอได หรือแม้แต่พรรคพี่น้องมุสลิม

· จะผลักดันการต่อสู้ให้ไปไกลกว่านี้เพื่อล้มระบอบอำมาตย์เก่าทั้งระบอบ และเพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมอย่างไร?

· จะรวมพลังขบวนการแรงงานให้เรียกร้องความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจอย่างไร ขบวนการแรงงานที่ออกมาสู้จะต้องกลับไปทำงานภายใต้เงื่อนไขและเจ้านายเดิมจริงหรือ?

· จะปฏิรูปตำรวจ ศาล และกองทัพอย่างถอนรากถอนโคนอย่างไร?


เรื่องแบบนี้ตัดสินใจแบบแกนนอนไม่ได้ ต้องอาศัยการเสนอแนวทางที่ชัดเจนบนพื้นฐานการวิเคราะห์สังคม และการเสนอแนวที่ชัดเจนแบบนั้นแปลว่า ต้องมีองค์กรทางการเมืองหรือพรรคที่รวมตัวกันภายใต้ความคิดร่วม และแน่นอนมันจะมีหลายพรรคหลายองค์กรที่แข่งแนวกันเพื่อครองใจมวลชน แต่ถ้าผู้ที่ทำการปฏิวัติไม่รวมตัวกันทางการเมืองแบบนั้น คนอื่นจะมาช่วงชิงการนำแทน และอาจพาสังคมไปสู่การปกป้องระบอบเดิม เราเห็นชัดในกรณี ๑๔ ตุลาคมที่ไทย

หลังจากที่ป่าแตกและการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์ทั่วโลก กระแสการปฏิเสธ “ชนชั้น” และการหันหลังให้กับการทำงานในขบวนการแรงก็เกิดขึ้น การปฏิวัติที่อียิปต์พิสูจน์ว่าคนเสื้อแดงต้องขยันในการจัดตั้งทางการเมืองในขบวนการแรงงานไทย เพื่อใช้อำนาจทางเศรษฐกิจกดดันอำมาตย์ผ่านการนัดหยุดงาน

สิ่งที่ทำให้ประชาชนอียิปต์โกรธแค้นคือเรื่องการตกงาน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความเป็นเผด็จการของรัฐบาล และการที่อำมาตย์เหยี่ยบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อคืนก่อนที่มูบารักจะลาออก มูบารักออกโทรทัศน์และเรียกประชาชนอียิปต์อย่างดูถูกดูหมิ่นว่าเป็น “ลูก”

ดังนั้นถ้าเราจะล้มอำมาตย์ไทย เราต้องมีข้อเรียกร้องทางเศรษฐกิจและการเมืองพร้อมกันที่ครองใจประชาชนได้ และชี้ทางไปสู่การสร้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนที่ถูกสอนมาตลอดว่าเป็นแค่ฝุ่นใต้ตีน

การปฏิวัติอียิปต์จะแพร่หลายไปสู่ประเทศต่างๆ ที่ปกครองโดยทรราชในตะวันออกกลาง เช่น จอร์แดน เยเมน บาห์เรน ซาอุ อัลจีเรีย โมรอโค และจะทำให้ทรราชในไทย และทรราชในจีนหนาว

การปฏิวัติอียิปต์ ถ้าไปในทิศทางที่เสริมชัยชนะของประชาชน จะลดอิทธิพลของจักรวรรดินิยมสหรัฐ มหาอำนาจตะวันตก และอิสราเอล ในตะวันออกกลาง และจะสร้างความหวังให้ชาวปาเลสไตน์

จงร่วมกันฉลองชัยชนะของประชาชนอียิปต์ แต่ฉลองเสร็จจงลงมือทำงานการเมืองต่อไป ประชาชนจงเจริญ!! ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน!!

กรณีตัวอย่างที่สถาบันกษัตริย์ สามารถปฏิเสธรัฐประหาร และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้รัฐประหารพ่ายแพ้ได้ : "กบฏยังเติร์ก" 2524

 


จุดจบ-การยึดอำนาจเริ่มในเวลาตีสองของวันที่ 2 เมษายน 2524 ขณะที่สถานการณ์พลิกผันเมื่อ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิตร ผู้คุมกำลังสำคัญของฝ่ายยึดอำนาจ และว่ากันว่าเป็นคน"รับโทรศัพท์"ก่อนจะยอมปล่อยพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ตามคำร้องขอ ทำให้ฝ่ายทำรัฐประหารที่มีกองกำลังในมือเหนือกว่าหลายขุมต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายปราบกบฎ ที่นำโดย"นายทหารบ้านนอก"คนหนึ่ง


โดย ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา เฟซบุ๊คสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ภาพและคำบรรยายภาพ ไทยอีนิวส์

ประเด็นสถาบันกษัตริย์ กับการรัฐประหารในประวัติศาสตร์ไทย เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน พวกรอยัลลิสต์ มักจะเสนออย่างง่ายๆว่า เมื่อเกิดการรัฐประหาร พระมหากษัตริย์ทรงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องทรงรับรองการรัฐประหารนั้นในทางใดทางหนึ่ง (การแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหาร, การประกาศรัฐธรรมนูญจากการรัฐประหาร) เรียกตามภาษาฝรั่งว่า การรัฐประหารเป็น fait accompli (สิ่งที่สำเร็จไปแล้วแก้ไขไม่ได้)

แต่ความจริงของประเด็นนี้ ห่างไกลจากคำอธิบายง่ายๆเช่นนี้มาก ยกตัวอย่างเช่น ปรีดี พนมยงค์ เป็นคนหนึ่งที่เสนอว่า พระมหากษัตริย์ทรงมีพันธะที่จะต้องคัดค้าน ไม่รับรองการรัฐประหาร (ดูบทความของผมเรื่อง "สาร" (message) จากปรีดี พนมยงค์ ถึง ในหลวงภูมิพล เมื่อปี 2516: "พระราชปิตุลาทรงให้สัตยาธิษฐานไว้แล้วว่า พระราชปิตุลาและพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีองค์ต่อๆไปทุกพระองค์ จะต้องพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และไม่ลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญที่ได้มาจากการยึดอำนาจที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ" http://www.prachatai.com/journal/2010/12/32177 )

ยิ่งกว่านั้น หากศึกษารายละเอียดของการรัฐประหารสำคัญๆ เช่น รัฐประหารของสฤษดิ์ ในปี 2500 หรือรัฐประหาร 6 ตุลา 2519 ก็จะเห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์กับการรัฐประหาารในประเทศไทย ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกรอยัลลิสต์กล่าวอ้าง

เมื่อ 30 ปีก่อน (จะครบรอบภายใน 2 เดือนนี้) ได้เกิดการทำรัฐประหาร โดยกลุ่มที่เรียกว่า "ยังเติร์ก" (แต่ให้ พล.อ.สันห์ จิตรปฏิมา เป็นหัวหน้า - พล.อ.สันห์ เป็นรองผู้บัญชาการทหารบก และกล่าวได้ว่ามี "ประโยชน์ได้-เสีย" จากการรัฐประหาร เพราะการต่ออายุเปรมในปีก่อนหน้านั้น ทำให้เขาหมดโอกาสเป็นผู้บัญชาการทหารบก) การรัฐประหารครั้งนั้นถูก พล.อ.เปรม ปราบปรามให้พ่ายแพ้ไป โดยมี พลโท อาทิตย์ กำลังเอก ที่เป็นแม่ทัพภาค 2 ขณะนั้น เป็นหัวหน้าในการดำเนินการปราบปราม

ไฟล์ pdf ข้างล่างนี้ ผมทำขึ้นจาก การถอดเทปคำบรรยาย ของ พลโท อาทิตย์ ซึ่งตีพิมพ์ใน สยามใหม่ ของชัชรินทร์ ไชยวัตน์ ฉบับวันที่ 23 พฤษภาคม 2524 การบรรยายแบบ "ปิดลับ" ของอาทิตย์ ครั้งนั้น มีขึ้นเพียง 1 สัปดาห์หลังจากเขานำการปราบ "กบฏยังเติร์ก" ได้สำเร็จ เป็นคำบรรยายที่น่าสนใจ และหาได้ยากมาก (ไม่มี นสพ.ฉบับใดในขณะนั้นตีพิมพ์หรือกล่าวถึง)

ประเด็นที่ผมอยากให้สนใจเป็นพิเศษ คือในส่วนที่ อาทิตย์ เล่าเกียวกับบทบาทของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งสนับสนุนข้อเสนอ (ของปรีดีเป็นต้น) ที่ว่า สถาบันกษัตริย์ มีบทบาทในเชิง ปฏิเสธ หรือ ทำให้การรัฐประหารล้มเหลวได้ (ในแง่มุมที่กว้างออกไป เรื่องนี้ยังเป็นการปฏิเสธ "มายา" [myth] ของพวกรอยัลลิสต์ที่ว่า "สถาบันกษัตริย์เป็นกลาง-อยู่เหนือการเมือง") โดยอาทิตย์ ได้เล่าว่า

- พระราชินี ทรงมีบทบาทสำคัญในการช่วย เปรม ให้หลุดพ้นจากการกักตัวของพวกยังเติร์ก โดยทรงโทรศัพท์ไปบอกพวกยังเติร์กว่า "ถ้าภายในครึ่งชั่วโมงนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ยังออกจากบ้านมาเข้าเฝ้าไม่ได้ ฉันจะออกไปรับด้วยตัวฉันเอง"
(หน้า 14 ในนิตยสารดังกล่าว หรือหน้า 4 ของไฟล์ pdf และดูหน้าก่อนนั้นด้วย) การรอดพ้นการกักตัวของเปรม เป็นจังหวะก้าวทีสำคัญมากๆ ที่นำไปสู่การที่รัฐประหารครั้งนั้นล้มเหลว

- ในหลวงและพระราชินี ทรงรับคำเชิญของอาทิตย์ ให้เสด็จออกจากกรุงเทพพร้อมเปรม ไปโคราช ที่ตั้งกองบัญชาการปราบกบฏ

- เดิมในหลวงจะทรงเสด็จต่อไปยังพระตำหนักภูพาน ที่สกลนคร (ซึ่งย่อมจะทำให้พระองค์อยู่ห่างออกจากทั้งฝ่ายเปรมและฝ่ายกบฏ ในลักษณะ "เป็นกลาง" ได้) แต่ทรงเปลี่ยนพระทัย ประทับอยู่ที่โคราชกับกองบัญชาการปราบกบฏ ("ท่านก็ว่า ท่านจะอยู่ทีนี่แหละ" หน้า 15 ในนิตยสาร หน้า 5 ของไฟล์ pdf)

สองประเด็นหลังนี้ เป็นปัจจัยสำคัญอย่างใหญ่หลวงที่ทำให้ฝ่ายกบฏสูญเสียความชอบธรรม และสนับสนุนฝ่าย พล.อ.เปรม และความสำเร็จของการปราบกบฏ

ดาวน์โหลด pdf คำบรรยายของ อาทิตย์ ได้ที่นี่

http://www.mediafire.com/?ruwg3eu0i3prino