ผู้เชี่ยวชาญสายพิราบ ให้ข้อมูลล่าสุดเอาไว้ตั้งแต่ต้นปี 2554 บอกว่า
ความ จริงมันก็ต่างกันพอสมควร...ถ้าดูจากปริมาณจรวดที่ยิงได้ต่อ 1 ครั้งแล้ว BM21 มีจรวดบรรจุทั้งหมด 40 นัดใน 1 ชุดยิง...ส่วน DTI-1 มีจรวด 4 นัดใน 1 ชุดยิง
สำหรับอำนาจการทำลายนั้น BM21 ใช้จรวดขนาด 122 มิลลิเมตร บรรจุดินระเบิดราวๆ ลูกละ 25 กิโลกรัม ยิงได้ไกล 40 กิโลเมตร ส่วน DTI-1 นั้น ใช้จรวดขนาด 302 มิลลิเมตร ใช้ดินระเบิดลูกละ 150 กิโลกรัม มีระยะยิงไกล180 กิโลเมตร...
นอกนั้นทั้งสองระบบต่างเป็นจรวดที่ไม่นำวิถีเหมือนกัน
ข้อมูล ข้างต้นจึงน่าจะเทียบกันลำบาก แค่ขนาดจรวด...ขนาดหัวรบ และระยะยิง DTI-1...ไทย ก็ใหญ่กว่าและไกลกว่า BM21...กัมพูชาหลายเท่าอยู่แล้ว
เอาง่ายๆว่า...จากระยะยิง DTI-1 ยิงได้ 4 รอบกว่าที่ BM21 จะวิ่งเข้ามายิงได้สัก 1 รอบ
"อำนาจ การทำลายมันก็ต่างกัน จรวดของ BM21 มีดินระเบิด 25 กิโลกรัม รัศมีการทำลายอาจจะเทียบได้กับบ้านสักสองหลัง แต่ลูก DTI-1 รัศมีการทำลายมันราวๆ 1 สนามฟุตบอล
ถ้าจะเอาให้ชัวร์ ก็ตั้ง DTI-1 ไกลๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครยิงโดนแล้ว ที่สำคัญกว่านั้น DTI-1 เราผลิตเองได้ จะยิงกี่ลูก จะมีกี่ระบบก็ปั๊มออกมาได้"
ข้อมูลจาก พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สปท. บอกว่า จรวดหลายลำกล้อง DTI-1...สามารถใช้เป็นอาวุธเชิงรุกและเชิงรับ สร้างความได้เปรียบในสนามรบด้วยสมรรถนะที่สำคัญ
โดยเฉพาะคุณสมบัติ ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ เปลี่ยนที่ตั้งยิงได้ในเวลาอันรวดเร็ว มีความอยู่รอดในสนามรบสูง
DTI-1 มีสมรรถนะที่ยิงไกลถึง 180 กิโลเมตร มีอำนาจการยิงในทางลึกถึงแนวหลังของพื้นที่การรบ โจมตีเป้าหมายสำคัญ เช่น ค่ายทหาร สนามบิน และฐานยิงจรวด ทั้งนี้ จรวด DTI-1 สามารถใช้รถเป็นฐานยิง ติดตั้งท่อยิงจรวดจำนวน 4 ท่อยิง
ที่สำคัญ...รถฐานยิงจรวดมีระบบ ชี้ ทิศ และพิกัดอัตโนมัติ ทำงานร่วมกับระบบอำนวยการยิงอัตโนมัติ สามารถให้พิกัดและชี้ทิศทางยิงพร้อมมุมยิงได้อย่างรวดเร็ว หัวรบบรรจุดินระเบิดแรงสูง เมื่อยิงออกไปแล้วระบบสามารถบรรจุลูกจรวดเพื่อพร้อมยิงใหม่ได้ภายในเวลา เพียง 20 นาที
ลูกจรวด DTI-1 ยาว 6.37 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 302 มิลลิเมตร จรวดเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด 5.2 มัค หรือ 5.2 เท่าเหนือความเร็วเสียง
กระสุนวิถีสูงสุด 60 กิโลเมตร เมื่อต้องการทำการยิง DTI-1 จะยกแท่น
ยิงขึ้นเพื่อให้ได้องศาตามที่ได้คำนวณไว้ โดยจรวด DTI-1 สามารถยกแท่น
ยิงขึ้นได้สูงสุด 60 องศา ซึ่งตัวระบบมีไฮโดรลิก ช่วยในการปรับมุมองศาได้อย่างรวดเร็ว
ถึง ตรงนี้...ผู้เชี่ยวชาญสายพิราบ ย้ำว่า อย่าได้ดูถูกแสนยานุภาพกองทัพกัมพูชาเป็นอันขาด กองทัพบกกัมพูชาเป็นเหล่าทัพที่สำคัญที่สุดในจำนวน 3 เหล่าทัพ อาวุธส่วนมากของกัมพูชาจะเป็นอาวุธจากค่ายสังคมนิยมเดิมอย่างรัสเซีย และจีน
กองทัพ กัมพูชาประกอบด้วย กรมทหารราบ 9 กรม, กองพันยานเกราะ 3 กองพัน, กรมทหารช่าง 4 กรม, และกองพลน้อยต่อต้านการก่อการร้าย 3 กองพล มีกำลังทหาร 124,000 นาย งบประมาณกลาโหม 120 ล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปีโดยประมาณ
อาวุธส่วนมากเป็นอาวุธในยุคสงคราม เย็นที่เคยใช้ในสงครามกลางเมือง ในปัจจุบันอาวุธหลายรายการได้รับการช่วยเหลือจากจีน รัสเซีย และสหรัฐฯ
สำหรับ อาวุธหลักของกองทัพบกกัมพูชาประกอบไปด้วย... รถถัง T-55 จากรัสเซีย, รถถังหลัก Type-59 จากจีน, รถถังเบา PT-76 จากรัสเซีย, รถถังเบาType-62/63 จากจีน และรถถังเบา AMX-13
รถเกราะ ก็มี...รถรบทหารราบ BMP-1 จากรัสเซีย, รถเกราะสายพาน M113A1/A3 จากสหรัฐฯ, รถเกราะล้อยาง BTR-60 จากรัสเซีย, รถเกราะล้อยาง BTR-152 จากรัสเซีย และรถเกราะล้อยาง OT-64 จากโปแลนด์
และยังมีปืนใหญ่ ปืนต่อสู้อากาศยาน จรวดต่อสู้อากาศยาน
ส่วนกองทัพเรือเป็นกองทัพเรือใกล้ฝั่ง (Green Navy) โดยกัมพูชามีเรือตรวจการณ์ลำน้ำจำนวน 2 ลำ และเรือเร็วโจมตี (ปืน) อีก 2 ลำ
ส่วน...กองทัพ อากาศ กัมพูชามีฐานบินอยู่สองฐาน ฐานทัพอากาศพระตะบอง และฐานทัพอากาศพนมเปญ แต่มีเครื่องบินประจำการที่ฐานทัพอากาศพนมเปญเพียงที่เดียว
ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธสายพิราบผู้นี้ ยังคงยืนยันเหมือนเช่นเคยว่า ยังไม่เห็นประโยชน์อันใดที่จะทำสงครามกับกัมพูชา
เพราะ ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริงๆ ก็หมายถึงว่า...เราไม่ยอมใช้พลังอำนาจที่เหนือกว่าทั้งในแง่ของเศรษฐกิจและ แสนยานุภาพทางทหาร ซึ่งสมควรจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการทูตในการเจรจา เพื่อไม่ให้นำไปสู่สงคราม
ที่สำคัญถ้าเกิดสงครามนั่นหมาย ถึงว่า...เราล้มเหลวทางการทูตและการเจรจาอย่างสิ้นเชิง และน่าจะเป็นความล้มเหลวครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น